Tuesday, June 26, 2007

คิดแบบเด็กๆ


ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสทำตามความฝันของผมชิ้นหนึ่งนะครับ นั้นคือ ผมฝันว่า ผมอยากมีอาชีพเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ ดูเป็นอาชีพที่มีคุณค่า และนำมาซึ่งความสุขให้ตัวเองและผู้อื่น ผมเริ่มรู้จักอาชีพนี้ครั้งแรก ทางสารคดีต่างประเทศสารคดีนึ่ง ที่พูดถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และนึ่งในคนๆนั้น ก็ประกอบอาชีพนี้ ผมทึ่งกับวิธีคิด วีธีการทำงาน และแรงบันดาลใจที่เค้าได้รับ และรวมถึงสิ่งที่ผมเป็นและวิธีการคิดที่ผมคิด ผมเลยรู้เลยว่าอาชีพนี้แหละที่ผมตามหามาชั่วชีวิต


ผมเลยสร้างโอกาสให้ตัวเอง โดยขอเป็นอาสาสมัครในการการอบรม สมรรถภาพข้าราชการ กับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทาลัยธรรมศาสตร์ ผมอยากรู้ว่าการที่จะมีบริษัทของตัวเอง และเป็นบริษัทสร้างแรงบันดาลใจนั้นผมต้องทำอะไรบ้าง การหายไปเป็นอาสาสมัครครั้งนี้ให้อะไรกับผมมาก อย่างน้อยผมรู้ว่าผมยังต้องสังสมประสบการ ความรู้และวิธีคิดอีกมากกว่าที่จะอยู่ในวงการนี้ได้อย่างมั่นคง ก้าวต่อไปของผม คือการทำงาน หาประสบการณ์ในชีวิต และทำตัวให้เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่มีประโยชน์ ซึ่งยังต้องเดินอีกหลายก้าวทีเดียว


ผมได้พบกับผู้ร่วมสัมมนา ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจาก กระทรวงการคลัง การที่จะทามให้ผู้ใหญ่มีพลัง มีความคิดสร้างสรรค์ช่างยากเหลือเกิน นั้นเปนคำถามแรกที่อยู่ในใจของผม แต่รู้หรือเปล่าครับ ความมหัสจรรย์มักมาจากความเรียบง่าย นั้นก้อคือ การทามให้พวกผู้ใหญ่เหล่านี้ คิดได้แบบเด็กๆ สนุกกับปัญหาเหมือนกำลังเล่นเกมส์อยู่ในงานสัมมนานี้ ผมเริ่มเห็นรอยยิ้มความรู้สึกผ่อนคลายจากผู้เข้าร่วมสัมมนามากขึ้น การคิดแบบเด็กๆน่าจะเป็นคำที่ไม่มีใครชอบว่า เป็นคน คิดแบบเด็กๆ แต่การคิดแบบเด็กๆนี้ก้อนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ การรู้จักใว้ใจคนอื่น นี่แหละคือเป้าหมาย สำหรับการจัดสัมมนา


สำหรับผม ผมชอบความคิดแบบเด็กๆอยู่แล้ว ผมชอบเล่นสนุกแบบเด็กๆ แต่อย่างนึ่งที่ผมยังทามไม่ได้ในแบบเด็กๆ คือ การให้อภัยคนอื่น คือ ช่วงเวลาที่เราเป็นเด็ก เวลาเราโกรธกัน แป็ปเดียวเราก้อคืนดีกัน แต่เมื่อโตขึ้น บาดแผลที่เราเคยได้รับกับคนบางคน มันไม่เคยลบเลือนเลย ผมคงยังต้องนำเอาบทเรียนนี้ประยุกต์กับชีวิต และฝึกตนเองให้ได้ ไปสู่ในสิ้งที่ตัวเองฝันนะ วันนี้ท่าทาง ผมต้องกลับไปเล่น กับยายเอิง หลานสาวจอมซนของผมซะแล้วซิ........

Monday, June 04, 2007

คิดถึงแม่


บางช่วงเวลา ที่วิทอาจมีสังคมสนุกสนานกับเพื่อนและนิสัยบางอย่างจของวิทที่ไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพย์ทำให้ละเลยที่จะโทรหาผู้หญิงคนนึ่ง คนที่มักจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อพูดถึงความทรงจำในวัยเยาว์ของพวกเรา ไม่ต้องแปลกกใจเลยผู้หญิงคนนั้น คือคนที่สำคัญที่สุดและไม่มีใครที่จะรักผมใด้เท่าแม่ของผมอีกแล้ว


วิทชอบเสียงของแม่เวลาคุยกับแม่นะ แม่จะติดปากคำว่าจ้ะ นะจ้ะ อยู่เสมอ วิทรู้สึกนำเสียงที่มีคำต่อท้ายเช่นนี้แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่น แม่อาจะน้อยใจวิทที่บางครั้งผ่านไปหลายวัน ลูกวิทก้อยังไม่โทรหาแม่ซักที วิทอยากให้แม่รู้นะครับ ว่าวิทคิดถึงแม่ทุกวัน เวลาวิทจะทำอะไรวิทจะคิดถึงแม่และพ่อก่อนเสมอ แต่วิทชอบวิธีคิดแบบแม่นะ ในเมื่อวิทไม่โทรมา แม่ก้อจะโทรหาวิทเอง วิทซาบซึ้งนะครับและมีความสุขเสมอเมื่อได้ยินเสียงของแม่ จนบางทีเมื่อมีผู้หญิงเข้ามาในชีวิตของวิท และมีคำพูดติดปากว่า จ้ะ นะจ้ะ วิทแทบเอาตัวไม่รอดทุกทียิ่งถ้านำเสียงเหมือนแม่ด้วยแล้ววิทแทบจะละลายเลยละ


เวลาที่วิทสิ้นหวังและหมดกำลังใจ แม่จงรู้นะครับ ว่าวิทคิดถึงแม่คนแรก เวลาได้ทานอาหารที่ดี และมีความสุขวิทสำนึกอยู่เสมอว่า ถ้าไม่มีปัจจัยที่พ่อแม่มอบให้ วิทไม่มีปัญญาหรอก ที่จะได้นั่งร้านอาหารที่ดีแบบนี้ การดำเนินชีวิตของแม่ทำให้วิทรู้ว่า โลกใบนี้มีที่สำหรับคนที่รู้เท่าทันโลกเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไป วิทได้ทบทวนถึงคำสอนต่างๆ วิทรู้ว่าคำสอนนั้นไม่เคยล้าสมัยเลย แม่มักจะพูดเสมอว่า อย่าทำอะไรเกินตัว จงสังเกตทุกๆอย่างที่ผ่านมาในชีวิต คำสอนทุกคำของแม่สำคัญมากนะครับลูกผู้โง่เขลาคนนี้จะจดจำและนำไปปฏิบัติตาม


เมื่อรักแม่ สิ่งที่ตามมา คือ การรักพี่กับน้อง บางครั้งผมอาจจะน้อยใจและเรียกร้องมากไปที่จะให้เจ้ดูแลเอาใจใส่กับวิทนะ วิทตลกตัวเองอยู่เสมอในความโง่เขลาของตัวเอง ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะไปบังคับใครให้ใส่ใจเราได้ เราก้อจงใส่ใจเค้าเหมือนที่แม่ปฏิบัติกับเรา ขอบคุณแม่ที่ทำให้วิทคิดได้โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย เจ้อย่าพึ่งแปลกใจ ถ้าวิทจะหันมาเอาใจใส่เจ้มากขึ้น สำหรับน้องนุช พี่วิทเป็นห่วงหนู่อยู่เสมอนะ


สิ่งที่วิทตั้งใจ คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และสัญญากับตัวเองว่า วิทจะดูแลแม่กับพ่อให้ดีที่สุด และตอบแทนความรักที่ท่านมอบให้ ให้มากเท่าที่จะมากได้........