Monday, March 26, 2007

หัดเดินใหม่



ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมอยู่ในภาวะที่หดหู่ หมดหวังและสิ้นหวัง ผมลืมทุกอย่างลืมการฝึกตัวเองที่ตนเองพยายามที่จะฝึกมาตลอดชีวิต สาเหตุของความทุกข์ผมคืออะไรหรือ คงเกิดจากสิ่งที่ผมคาดหวัง ส่วนตัวผม ผมเป็นคนปรานีปรานอมกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต แต่ในเรื่องของตนเองผมมักจะเข้มงวดและขัดใจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้ตัวเองได้ทำตามครรลองที่ได้วางไว้ น่าเสียใจแค่มรสุมลูกเล็กๆก้อทำให้ผมเสียสูญการทรงตัวได้เพียงนี้ ช่วงแรกของความทุกข์ผมเลือกที่จะคุยกับแม่ขอความรักและพลังใจ คุยกับพ่อเพื่อขอความเข้มแข็ง นอนแต่หัวค่ำ เพราะหมดแรงที่จะต่อสู้แ ต่ไม่ลืมที่จะสวดมนต์ก่อนนอน ผมนอนหลับด้วยความรู้สึกหมดแรง ตื่นมาอีกครั้งตอนตี 3 ขึ้นมาสวดมนต์อีกครั้ง

ความทุกข์เกิดจากอะไร เกิดจากเราคาดหวัง อยากให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างใจเราต้องการ แต่ในความเป็นจริงของโลกใบนี้ไม่มีอะไรหรอกที่ได้ดังใจเรา แต่ผมก้อยังโง่เขลา และจมอยู่ในความทุกข์แม้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นเช่นนั้นเอง ผมเริ่มรวบรวมกำลังใจ ทบทวนถึงปัญหาว่าคืออะไร แล้วเราจะทำอะไรต่อ ความทุกข์จะไม่ได้รับการแก้ไขถ้าเรามัวแต่ร้องให้และไม่ยอมที่จะลุกเพื่อก้าวเดินต่อไป ช่วงแรกผมรอแต่จะให้มือของคนอื่นมาพยุงผม ผมคิดถึงพ่อแม่ คิดถึงพี่และน้อง และคิดถึงผู้หญิงที่ผมหลงรัก แต่ม่ายเลย ทางออกคือผมต้องเดินเอง

ผมพลาดอีกอย่างนึ่งคือ ผมฟูมฟายมากไป ยิ่งเราพูดถึงปัญหามากเพียงไร ปัญหานั้นก้อจะทิ่มแทงใจเรามากขึ้นและไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ผมเริ่มยิ้มกับปัญหา และเปิดใจให้กว้างยอมรับกับผลลัพธ์ที่จะออกมา ผมเริ่มที่จะหัดเดินใหม่อีกแล้วนะครับ หลังจากหกล้มไม่เป็นท่าในครั้งนี้ ผมเริ่มมองรอบข้างมากขึ้น ผมมีความสุขสำหรับกำลังใจจากเพื่อนรักหลายคน ก้าวเดินก้าวใหม่ของผมคงมีความหมายและสวยงามมากขึ้น ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้น ที่ทำให้ผมได้หัดเดินเหมือนเด็กที่พึ่งหัดเดินอีกครั้ง

Saturday, March 10, 2007

To have or to be ?


เมื่อวานผมตั้งใจที่จะดูรายการทีวีรายนึ่งนะครับ เป็นรายการที่เชิญคุณส.ศิวรักษ์ มาพูดโดยส่วนตัวของผม ผมเป็นแฟนพันธ์แท้ ของส. ศิวรักษ์อยู่แล้ว ผมชอบในความเป็นนักวิจารณ์สังคม และไม่กลัวที่จะวิจารณ์คนต่างๆที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่ในบางครั้งเมื่อคำวิจารณ์เป็นคำวิจารณ์มาจากขอ้มูลข่าวสารที่ท่านผิด ท่านก็ออกมายอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าท่านได้ให้ข้อมูลที่ผิดพลาด เช่นในกรณีที่ท่านวิพากย์ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งภายหลังได้ออกมมาเป็นจดหมายขอโทษจากส. ศิวรักษ์ในท้ายที่สุด


ผมช่างใจที่จะต้องลงเรื่องราวที่ผมได้ยินจากรายการทีวีอย่างน้อยก้อเป็นการบันทึกของผมด้วยนะครับ ผมมีความเชื่อที่คล้ายกับส. ศิวรักษ์ในเรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งเพื่อนๆคงเห็นผมตั้งเป็นชื่อเรื่อง To have or to be ?ไม่ใช่ผมจะมาสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เพราะส่วนตัวผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้น แต่เรื่องนี้น่าสนใจกว่าเยอะเลย เพราะสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยมายาคติ To have คือ การยึดตัวตนเป็นจุดศูนย์กลาง การดำเนินชีวิตของเราจึงยึด ที่เราจะต้องมีอะไร เราจะต้องเก่งที่สุด และทับถมคนที่ด้อยกว่า เพื่อให้ตังเองคิดและอยู่เหนือคนทุกคน วิธีคิดแบบนี้น่ากลัวมาก เพราะแค่เราคิดว่าเราอยากมีอะไร เราก็เริ่มแนวคิดที่จะสะสม เมื่อคิดที่จะสะสมก้อเริ่มต้นด้วยการทำงานหนัก การพยายามเขี่ยคนอื่นให้ออกจากลู่วิ่งที่เราจะวิ่งขึ้นไปสู่เป้าหมายที่สูงสุด ฟังดูดูดีนะครับ ใช่ ดูดี แต่สำหรับการมองโลกของ'ส.ศิวรักษ์ ท่านมองว่าหนทางที่เราก้าวเดินนั้นเป็นหนทางที่ผิดและเป็นหนทางแห่งหายนะ เพราะเรากำลังสร้างศัตรู มองเพื่อนร่วมงานอย่างคนทีเป็นคู่แข่ง แล้วในท้ายที่สุดเราได้อะไรเมื่อเราตายจากโลกใบนี้? เปล่าเลยเราไม่ได้เอาอะไรจากของที่เราสะสมเกินพอดี นำติดตัวไปไม่ได้เลยแม้ซักชิ้นเดียว


การมีชีวิตแบบ to be อะไรคือสิ่งสำคัญ ไม่ยากเลย การมีชิวิตอยู่บนโลกนี้ซิ เป็นสิ่งสำคัญ เราอยู่ได้ด้วยลมหายใจที่หายใจเข้าและออกด้วยความรัก รักเพื่อนมนุษย์ที่อยู่อยู่ในโลกใบนี้เลิกที่จะสะสม และเข้าใจในคำพูดคำนึ่งที่ว่า เงินทอง คือ มายา ข้าวปลาคือ ของจริง ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ชีวิตที่สิ่งมหัศจรรย์รอเราอยู่มากมาย ในมุมมองต่างๆให้เราค้นหา มีอีกหลายสิ่งให้เราทดลองในเรื่องชีวิต แค่คิดถึงจุดหมายของชีวิตที่แท้จริงก้อเริ่มสนุกแล้ว เราได้เม็มความคิดทางตะวันตกมากไป ความคิดที่สร้างเงื่อนไขจอมปลอม ในการเอาเปรียบซิ่งกันและกัน น่าหัวเราะทีเรายังโง่เง่า และมีความสุขกับการใช้แนวคิดแบบนั้นเหมือนสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดูดีแต่ไม่ยั่งยืน


ผมมีความสุขที่ได้ดูรายการทีวีรายการนี้ ทำให้ผมมีไอเดียร์บางอย่าง ผมกำลังทดลองอะไรบางอย่างกับชิวิตนะครับ ซึ่งคงต้องทดลองจนชีวิตผมจะหาไม่ แล้วเพื่อนๆผมละลองคิดที่จะเปลี่ยนจากกรอบที่ใครก้อไม่รู้มาไส่ความคิดให้เรา ลองมาเป็นตัวของตัวเอง ซึมซับกับลมหายใจแห่งความรัก ความเมตตา ส. สิวรักษ์ น่าทึ่งจริงๆ