Tuesday, December 26, 2006

เดือนแห่งความสุข


เพื่อนของผมหลายๆคนเคยถามผมว่า ผมชอบเดือนอะไรมากที่สุด ผมมักจะอมยิ้มและตอบแบบไม่ต้องคิดมากว่า ผมชอบเดือนธันวาคม แต่ผมมักจะไม่ให้เหตุผลว่าเพราะอะไรผมจึงชอบเดือนนี้ ซึ่งถ้าคิดอย่างจริงๆแล้ว ผมมีเหตุผลที่จะสนับสนุนความชอบของผมซัก 2-3 เหตุผล ก็ว่าได้

เหตุผลแรก เมื่อ 20 กว่าปีก่อนเด็กชายตัวน้อยๆ ที่ชื่อนายวิทได้ถือกำเนิดมาในเดือนนี้ แม่เล่าว่าตอนผมเกิดไฟฟ้าที่โรงพยาบาลดับประมาณ 2-3วินาที ผมก้อไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นนิมิตที่ดีหรือไม่ดี เด็กคนนี้เกิดมาสมบูรณ์เช่นเด็กปกติทั่วไป เห็นหรือเปล่าครับแค่เหตุผลแรกของผมก้อคงมีน้ำหนักที่มากพอ เพราะเดือนนี้ในชีวิตของผมเป็นเดือนที่ผมเริ่มรับรู้ได้ถึงความรักของพ่อและแม่รวมถึงปู่ย่าและยายที่ซึมซับเข้ามาหาเด็กชายคนนี้ ผมเข้าใจและรับรู้เสมอ ว่าเดือนนี้สำคัญมากๆ

เหตุผลต่อมา คือ อากาศเดือนนี้เป็นอากาศที่เย็นสบาย ไม่มีฝนตก แดดร้อนให้รำคาญใจ เป็นเดือนแห่งเทศกาลความสุข สมัยเด็กๆและอาจรวมถึงปัจจุบัน ผมมักอมยิ้มเสมอเมื่อไกล้ถึงวันเกิดของผม ผมนั้งรถไปที่ใหน ทุกที่ก้อจะมีแต่งานสังสรรค์ ตามบ้านเรือนประดับไฟ สวยงาม มีต้นคริสมาส ตุ๊กตาหิมะ ทำไมเดือนนี้ช่างสดไสและมีความสุขซะเหลือเกิน

เหตุผลสุดท้ายและสำคัญที่สุด คือ เดือนนี้เป็นเดือนที่มีวันหยุดเยอะมาก โดยเฉพาะในช่วงปลายปี ผมมักจะเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จ ไม่รับนัดใครเลยในช่วงนี้ ใช้เวลาที่มีค่านี้อยู่กับพ่อและแม่ฉลองวันเกิดกับพ่อแม่และคนในครอบครัว รำลึกและเสพความรักของพ่อและแม่ให้เยอะที่สุด ผมชอบทานข้าวที่แม่ทำนะแม่ทำอาหารได้อร่อยที่สุดในโลกเลย เมื่อผมทานอาหารผมสำนึกเสมอนะแม่ถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน ขอบคุณแม่มากคราบบบบ

ขอบคุณพ่อแม่ที่เลือกที่จะให้ผมได้คลอดในเดือนแห่งความสุขนี้ ผมจะเก็บเกี่ยวความสุข เพื่อมอบให้กับเพื่อนทุกคนที่ผมได้พบ และอยากให้ทุกคนจงได้รับและเสพย์ความสุขความสุขร่วมกับผม สวัสดีปีใหม่ครับ

Monday, December 25, 2006

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (ตอนจบ)


Day 10 Last Day in Japan (Nov. 28)
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว คณะจากไทยเมื่อคืนกว่าจะจัดของเสร็จ (ก็เล่นซื้อมาซะเพียบเลยนี่ หวังว่าจะไม่เกินน้ำหนักนะ) กว่าจะอาบน้ำเสร็จได้นอน รู้สึกจะเป็นตีสองตีสามแล้วนะ แล้วต้องตื่นประมาณตีห้า เพื่อหลบผู้คนที่กำลังออกไปทำงาน ไปเรียน ก็ของพวกเราเยอะนี่ กระเป๋าก็ใบใหญ่
แต่แล้วก็ผิดแผนครับ คือ ทุกคนเพลียเกินกว่าที่จะตื่น แม้ว่านาฬิกาปลุกตั้งไว้แล้วนะ แต่ไม่มีใครลุก กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปสว่างแล้ว โชคยังดีไม่หลับยาวถึงเที่ยง (ไฟลท์เที่ยงวัน แต่ต้องไปเช็คก่อนสองชั่วโมง แถมจากโอบาคุไปสนามบินนานาชาติคันไซ (อยู่โอซาก้า) ก็ใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง ดังนั้นต้องได้รถไฟก่อนแปดโมงเช้า) คิดดูตื่นซะสายเรื่องข้าวเช้านี่ข้ามไปได้เลย แต่เราไม่ไหวอะ ติดขนมไปเพียบเหมือนกัน ตอนหลังขนมที่ติดไปนี่แหละช่วยประทังหิวให้เพื่อนๆได้ ค่อยยังชั่ว
พวกเราเริ่มเดินลงมา พร้อมไถลกระเป๋าใบใหญ่ลงจากเนินหอเรา กว่าจะถึงชาวบ้านชาวช่องมองกันเพียบ ประมาณว่าพวกนี้มันจะไปไหนวะ หอบซะใบใหญ่ ตอนนั้นที่เลือกรถไฟเพราะว่า ถูกกว่ารถเท๊กซี่ครึ่งหนึ่ง แล้วก็ตอนนั้นจองเทกซี่ไปสนามบินไม่ทันแล้ว เลยต้องตะลุยรถไฟยามเร่งด่วนทั้งๆกระเป๋าใบเบ้อเร่ออย่างนั้นแหละ (เสาร์ว่า คราวหน้าจะเตรียมให้ดีนั่งเทกซี่แน่นอน)
ความจริงพวกเราก็ผจญกับฝูงชนแค่จากสถานีจูโชจิมะ (เกียวโต) ไปถึงสถานีคิตะฮาม่า (โอซาก้า) ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่แค่นั้นก็ทำให้คณะจากไทยเมื่อยไปตามกันเพราะยืนตลอดทาง แถมคนแน่น พวกเรายืนกันมันแถวประตูนั่นแหละ หลบผู้คนไม่ได้เลย ทำใจครับทำใจ โชคยังดีที่คิตะฮาม่าเปลี่ยนเป็นรถไฟใต้ดินแล้วมันมาทุกสองนาที คนเลยไม่มากเท่าไร พวกเราจะไปต่อที่สถานี Chagaya (ถ้าจำไม่ผิด) เพื่อขึ้นรถไฟนันไกไปสนามบิน ถึงตรงนั้นแล้วสบายใจแล้วเพราะว่าเวลาเหลือเฟือ สุดท้ายก็นั่งนันไกไปถึงสนามบินทันเวลาเช็คอินสบายๆ มีเวลานั่งคุย หายใจหายคอที่สนามบินพักใหญ่ๆ ก็ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว ล่ำลากันเล็กน้อยเราก็ส่งเพื่อนๆเข้าเกต เป็นอันจบทริปหฤโหดครั้งนี้
แต่สำหรับเรามันสนุกมากเลยนะ โหด มัน ฮา ถ้าไม่มีพวกแก เราคงไม่ได้เที่ยวได้มันขนาดนี้ อุตส่าห์มาจากไทยมาเที่ยวเป็นเพื่อน (เพื่อนคนไทยที่เรียนที่เกียวโต ส่วนใหญ่อยู่สายวิทย์ ทำแลบทุกวันไม่ค่อยว่างมาเที่ยวกับคนสายศิลป์อย่างเรา) ขอบคุณจริงๆคร้าบ ถ้าไม่มีเรื่องย้ายบ้านในวันที่สามสิบ เราคงเหงาแย่ ดีที่มีเรื่องให้วุ่นๆต่อ เลยไม่ค่อยได้คิดอะไร แต่สัญญาว่าคราวหน้าที่มากันอีก จะจัดทริปเบาๆ หรือโหดน้อยลง หวังว่าเพื่อนๆจะไม่กลัวทริปแบบฉั่วๆไปซะก่อนน้า

บทส่งท้าย
ได้ข่าวมาวิทว่าเกือบตกเครื่องเพราะสาวๆมัวแต่ชอปที่ดิวตี้ฟรีคันไซนาน นานมากๆ เล่นเอาวิทเสียวเลย แถมตอนสุวรรณภูมิก็ชอปซะจนเขาเอากระเป๋าออกจากสายพาน เพราะคนอื่นเขาเอากันหมดแล้ว เหลือแต่ของสี่คนนี้นี่แหละ ฮ่าๆสงสัยเครียดที่ไม่ได้ชอป ก็ของญี่ปุ่นส่วนใหญ่มันแพงอะนะ ได้ข่าวว่าชอปที่ดิ้วตี้ฟรีไปเพียบ มากกว่าที่ซื้อที่ญี่ปุ่นซะอีก คราวหน้าเราจะศึกษาเรื่องที่ชอปเผื่อไว้ด้วยแล้วกัน กลัวพวกแกเครียดไม่ได้ชอป ฮ่าๆๆๆๆ คราวหน้าฟ้าใหม่เจอกัน

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (5)


Day 9 Kyoto again! (Nov. 27)
วันนี้เป็นวันจันทร์ เป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดพิเศษอะไร ตามแผนเลยครับ วันดีอย่างนี้ คนเที่ยวเกียวโตไม่เยอะ เที่ยวเกียวโตดีกว่าโดยมีวัดทอง (Kinkakuji) เป็นเป้าหมายแรกของวันนี้ กะว่าจะไปถึงให้ได้ก่อนเวลาวัดเปิดตอนเก้าโมงเช้าตื่นเช้าอีกแล้วครับท่าน วัดทองเป็นวัดที่โชกุนในเรื่องอิคคิวซังอาศัยอยู่ ก่อนที่ตอนหลังจะแปรสภาพเป็นวัดอย่างในปัจจุบัน
เริ่มวันด้วยการนั่งเจอาร์ไปให้ใกล้วัดทองที่สุด เพราะเป็นวันทำงานเกียวโตก็รถติดเหมือนกัน จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถเมล์ ซึ่งวันนี้เจ้านี่แหละจะเป็นพาหนะหลักในการเดินทางในเมืองเกียวโต แม้ว่าจะไม่เร็วเท่ากับรถไฟ แต่มันผ่านจุดที่วันนี้เราจะไปเที่ยวกัน แถมมีตั๋ววัน ราคาห้าร้อยเยนด้วย ประหยัด คุ้ม
เรามาถึงวัดทองก่อนเวลาเปิดนานอยู่เหมือนกัน แต่แม้นเป็นเพียงแค่ทางเข้า ก็ยังสวยและเต็มไปด้วยโมมิจิ คณะจากไทยไม่พลาดครับ ถ่ายรูปกันนานอยู่ทีเดียวกว่าจะได้กินอาหาร (ขนมปังรอบเช้าอีกแล้วครับท่าน) ที่เตรียมมากินกัน นั่งกินกันหน้าทางเข้านั่นแหละ คนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆทั้งๆที่ยังเช้ามาก แต่พวกเราไม่สนครับ ได้ที่นั่ง จัดแจงอะไรๆเรียบร้อยก็โซ้ยกันตรงนั่นแหละ จนประตูเปิด พวกเราถึงจะได้ฤกษ์ลุยวัดทองกัน
จุดแรกที่เข้าไปเจอก่อนเลยคือ ปราสาททอง ซึ่งทำจากไม้ หุ้มโดยทองทั้งหลัง (ทองจริงๆ ไม่ได้โม้) ขนาดวันนั้นอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนทั้งวัน แดดไม่มี แต่กลับได้บรรยากาศเหมือนเดินไปในความฝันแทน วัดทองสองหลังที่สะท้อนอยู่บนน้ำนิ่งสงบอยู่เบื้องหน้า วันนี้ถ่ายรูปออกมาสวยยังไง ก็สู้ที่มองตาเปล่าวันนั้นไม่ได้เลย สวยจริงๆน้า หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปตามเส้นทางที่ทางวัดจัดให้อยู่แล้ว เส้นทางเดียวเดินทั่ววัด ผ่านสวนต่างๆของวัด (สวนญี่ปุ่นมีสี่ประเภท เช่น สวนหิน สวนสวรรค์ แต่จำไม่ได้หมดอะ ว่าที่เห็นแต่ละอันเป็นประเภทไหน แย่เลย) สวนในวัดทองถือเป็นไฮไลต์อย่างหนึ่งได้เลยนอกจากปราสาททองแล้ว ก็นี่แหละที่ต้องใช้เวลานานหน่อยเพื่อซึมซับบรรยากาศเหมือนฝันนี่ นอกจากโมมิจิที่เต็มต้นแล้ว ไอ้ที่ร่วงลงมาพวกเราก็ถ่ายเก็บไว้เหมือนกัน มันดูอาร์ตดีนะ พื้นที่เต็มไปด้วยสีแดงของโมมิจิ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินผ่านที่ขายเครื่องรางด้วย เสาร์เห็นปุ๊ปก็กระโดดเข้าใส่ทันที เพราะหาเครื่องรางน่ารักสารพัดแบบอยู่พอดี แถมที่วัดทองดันมีแบบน่ารักด้วย งงเลย (กำลังกังวลอยู่เลยว่าจะหาเครื่องรางน่ารักๆได้ที่ไหน เพราะเราไปเที่ยวมาก็หลายที่ยังไม่เคยเห็นเครื่องรางแบบที่เสาร์บอกเลย) จุดนี้คณะจากไทยหมดตังค์ไปหลายเลยครับ เพราะของของเขามีหลายแบบ ทั้งเรื่องความรัก การเรียน การเดินทาง ขอให้คลอดลูกง่ายยังมีเลย แต่ละคนได้ไปกันคนละหลายแบบ โดยเฉพาะวิท ไม่รู้ว่าเครื่องรางจะขลังจริงรึเปล่า ยังไม่ได้ถามเลยว่า ไอ้ที่ขอไปนะ มันสำริดผลหรือเปล่า (ฮิๆ)
ผ่านจุดนั้นไปได้ ก็นานโขอยู่เหมือนกัน เราไม่ได้สนอยู่แล้ว เลยได้นั่งพักนานเลย ค่อยยังชั่ว เดินต่อมาเรื่อยๆผ่านที่ทำบุญแบบอยากลำบาก คือ จะมีรูปปั้นพระพุทธรูปญี่ปุ่นแล้วก็มีเหมือนขันบิณฑบาติวางไว้ ให้คนทำทาน แต่ว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นละซิ เพราะต้องโยนเหรียญให้ลงขัน แล้วต้องไม่ให้กระเด็นออกมาด้วย พวกเราก็ทันทีครับลองกันทันที แต่ขอโทษมีเราคนเดียวได้ทำทาน ครั้งเดียวลงเลย ส่วนคนอื่นโยนไปไหนก็ไม่รู้ ฝีมือครับฝีมือ (ฮิๆ)
เดินจนไปใกล้ทางออก ก็เจอห้องชาในสมัยก่อน ที่ยังคงรูปแบบและอาคารไว้ตั้งแต่สมัยก่อน (ไม่รู้มีมาตั้งแต่สมัยไหน เพราะไม่มีป้ายบรรยายบอกไว้) ถือเป็นโชคดีอีกเหมือนกันเพราะก่อนหน้านี้ วิท อยากถ่ายรูปห้องชงชา ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าจะไปหาให้ไอ้วิทได้ที่ไหน ฟลุ๊คจริงๆมาเจอในวัดทอง รู้สึกมาวัดทองนี่เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย
ตรงทางออกมีศาลเจ้าชินโตให้ไหว้ด้วย ตกลงวัดนี้เป็นวัดพุทธผสมชินโตด้วยแฮะ หลังจากได้ฝึกกันมาหลายรอบ ที่วัดทองนี่แต่ละคนดูแล้วเชี่ยวชาญขึ้นมากเลยกับการขอพรแบบชินโตเนี่ย เรายืนดูห่างๆ นึกว่าคนญี่ปุ่น แต่ที่แตกต่างคงเป็นเรื่องระยะเวลาขอพรมั้ง เพราะแต่ละคนนี่กะขอบ้านพร้อมที่ดินกันเลย หยอดไปห้าเยนเองนะครับ ขอนานขนาดนั้นระวังเทพเจ้างงนะครับ เอ แล้วเทพเจ้าญี่ปุ่นจะฟังภาษาไทยกันออกหรือเปล่าหว่า อืมๆ
ตรงทางออกนี่ บรรยากาศเปลี่ยนไปเลยนะ เพราะว่ามีร้านค้าขายของฝากอยู่ บรรยากาศสบายๆเงียบๆเมื่อกี้ กลายเป็นคึกคักไปเลย แต่พวกเราไม่ได้ชอปกันหรอกนะ เพราะรีบจะไปที่หมายต่อไปคือ มหาวิทยาลัยเกียวโต หรือในชื่อเล่น เคียวได (เคียวมาจาก Kyoto ได มาจาก Daikaku ที่แปลว่ามหาวิทยาลัย) ซึ่งนอกจากพวกเราจะหาเข้าเที่ยงกินแล้ว ณี บอกอยากเห็นมหาลัยญี่ปุ่น แล้วก็นุ้ยจะไปหาป๊อกกี้ด้วย (ลืมบอกไปเนื่องจากความล้มเหลวในการล่าป็อกกี้ในหลายวันก่อนหน้านี้ ทำให้วันนี้ต้องล่าให้ได้ วันนี้เลยกลายเป็นวันล่าป๊อกกี้) แต่ด้วยความที่รถเมล์เกียวโตแม้นจะตรงเวลา แต่ก็ไม่ได้มีรอบเยอะเท่าไร และสายที่พวกเราจะนั่งไปเคียวไดดันออกไปซะก่อน พวกเราเลยต้องนั่งรออยู่นานเหมือนกัน (รถเมล์เกียวโต ขึ้นข้างหลัง ลงข้างหน้า โตเกียว ขึ้นข้างหน้า แต่จ่ายข้างหลัง แต่พวกเรายังไม่ได้ลองของที่โตเกียวนะ เพราะนั่งรถไฟสะดวกกว่า) แต่ในที่สุดพวกเราก็มาถึง รูเนะ (มาจากภาษาฝรั่งเศส Rainaise แต่คนญี่ปุ่นออกเสียงง่ายๆเป็นรูเนะ แรกๆก็นึกตั้งนานว่ามันจะแปลว่าอะไรวะ ที่แท้มาจากภาษาฝรั่งเศสนี่เอง) หนึ่งในหลายโรงอาหารของเคียวได ที่พามาที่นี่เพราะว่ามันอร่อย แล้วก็มีอาหารให้เลือกเยอะ (อีกประเด็นคือ สาวอักษรชอบมากินที่นี่) ตอนที่ไปถึงนี่ก็เที่ยงพอดี ซึ่งปกติแล้วคนจะเยอะมาก เราเลยเร่งเพื่อนๆ เพราะถ้าคนเยอะจะต่อคิวนานมากกว่าจะได้กิน แต่แปลกวันนั้นคนน้อยมากผิดปกติ นึกไปนึกมาถึงได้บางอ้อ วันนั้นเป็นวันเก็บกวาดหลังจากผ่านงานมหาลัยในวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งวันเก็บกวาดจะไม่มีการเรียนการสอน จะมีอยู่บ้างบางภาควิชา ไอ้เราก็อุตส่าห์รีบกะจะหลบคนเยอะๆตอนเที่ยง (ณี บอกอยากมางานมหาลัยแบบญี่ปุ่นด้วย แต่พอดีตารางมันแน่นแล้วครับ เราก็อยากมาเที่ยวนะ แต่คราวนี้เวลาไม่ได้จริงๆ ไว้เราจะเที่ยวงานปีหน้าเผื่อแล้วกัน)
หลังจากอิ่มกับอาหารอร่อยราคาประหยัด เพื่อนๆชมกันใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้นึกว่าจะเป็นอารมณ์แบบที่ไปเที่ยวเชียงใหม่ แล้วต้องไปกินข้าวใน มช. แต่ที่นี่มันถูกกว่าข้างนอกมาก แค่สี่ร้อยเยนได้กินข้าวเป็นชุดเลย ทั้งเมนดิช ซุปมิโสะ ของหวาน อิ่มท้องแล้วไปเดินเล่นในมหาลัยกัน ทั้งห้องสมุด และหอนาฬิกา ซึ่งต้น Camiphor หน้าหอนาฬิกากับหอนาฬิกานี่มีอยู่ตั้งแต่สมัยก่อตั้งมหาลัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเลยนะ ดูขลังดี ตอนที่เรามาถึงแรกๆก็ถ่ายเก็บก่อนไว้เลย วันนั้นคนบางตา แต่ก็ดีทำให้พวกเราได้ถ่ายรูปที่สำคัญๆต่างๆโดยไม่ต้องติดฝูงชน
เสร็จแล้วลงใต้ดินหอนาฬิกา เดินหาป๊อกกี้ในซุปเปอร์ของมหาลัย สมเป็นซุปเปอร์มีครบทุกรสที่นุ้ยต้องการเลย แต่ว่าราคาแพงไปหน่อย ประจวบเหมาะเจอรุ่นน้องคนไทยที่เคียวได ก็คุยกันนิดหน่อย พอน้องๆรู้ว่ากำลังล่าป๊อกกี้อยู่ ทำหน้าตกใจบอกพวกเราว่าที่นี่นะแพง ให้ไปซื้อที่ชิโจถูกกว่าตั้งเกือบยี่สิบเยนต่อกล่อง พวกเรากะซื้อกันหลายสิบกล่อง รวมกันก็เป็นเงินหลายเหมือนกัน แถมวางแผนไว้แล้วว่าเวลาไปวัดคิโยมิซึ จะต้องไปเปลี่ยนรถเมล์ที่นั่นด้วย พวกเราเลยตัดสินใจไปซื้อเอาที่ชิโจดีกว่า ประกอบกับตอนนั้นใกล้เวลาที่นัดเพื่อเข้าเซนโตแล้ว จึงรีบออกจากเคียวไดไป อิมพีเรียลพาเลซกันเลย
เดินออกมาทางหน้ามหาลัย เจอรถเมล์พอดี ถึงอิมพีเรียลพาเลซก่อนเวลานัดอยู่นานเหมือนกัน ตามสูตรครับ ทางเข้าสวยเช่นเดิม เดินไปเซนโตไป ถ่ายรูปไป ตรงนี้ต่างจากที่อื่นๆที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ สวนรอบๆพาเลซจะเป็นต้นใหญ่ๆทั้งนั้น ไปยืนใต้ต้นตัวเราเล็กกระจ้อยร่อยไปเลย สักพักเริ่มเอะใจ เอาแผนที่พาเลซมาดู เอ พวกเรายังแทบไม่ออกห่างจากประตูทางเข้าเท่าไรเลย แล้วเซนโตในแผนที่นี่ก็ห่างจากทางเข้าโขเหมือนกัน เวลาก็ใกล้ตอนนัดแล้วด้วย เฮ้ย สายแน่เลย เราเลยบอกเพื่อนๆว่าค่อยถ่ายรูปโซนนั้นตอนขาออกก็ได้ แล้วรีบเดินกึ่งวิ่งไปจนถึงเวลานัดพอดี สรุป ดูจากแผนที่นึกว่าไม่ไกล แต่เอาเข้าจริงแล้ว มันไกลลลลลลลล มากจากประตูที่พวกเราเข้าไป เฮ้อ ยังดีไม่สาย เพราะว่าที่นี่เป็นพระราชวัง กฎระเบียบเข้มงวดมาก ไปสายละก็อดหนึ่งในจุดที่สวยที่สุดในทริป (หรือในญี่ปุ่นเลย)
ถึงตรงนี้ก็ต้องแยกกันอีกแล้ว เพราะหนึ่งกลุ่มเข้าได้สี่คน แถมตอนที่จองดันเหลือที่แค่สี่คน เราเลยให้คณะจากไทยเข้าไปก่อนเพราะว่าเรามันคนพื้นที่ เดี๋ยวก็มีโอกาสมาเที่ยวอีก แถมตอนนั้นมีธุระต้องไปจ่ายค่าหอที่ชิโจอีก เลยนัดกันว่าอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันตรงประตูทางเข้านั่นแหละ
จากคำบอกเล่า และรูปที่คณะจากไทยถ่ายในเซนโต (เซนโตคือ บ้านพักของราชวงศ์ที่ถึงวัยปลดเกษียณแล้ว ไม่มีพระราชกรณียกิจอะไรเลย ส่วนพระราชวังก็เป็นที่อยู่ขององค์จักรพรรดิ) ทำให้เรารู้ว่าที่นี่สวยอย่างที่รุ่นพี่เคียวไดบอกจริงๆ คนทั่วไปเวลามา Imperial Palace ที่เกียวโตนี้ส่วนใหญ่จะไปที่พระราชวัง แต่มักจะมองข้ามเซนโตไป ทั้งๆที่อยู่ภายในเขตพระราชฐานเดียวกันแต่แบ่งเป็นคนละโซน ทั้งๆที่ข้างในเซนโตสวยกว่ามาก ดีจริงๆที่ถามท่านผู้รู้มาก่อน (รุ่นพี่คนนั้นมาทำโพสด็อก อยู่นี่มาเกือบสิบปีแล้ว คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยว่ามีเซนโต ขอบคุณคร้าบพี่ ที่เป็นถุงความรู้ให้น้องๆ) เลยได้ภาพสวยๆมาฝากเพียบเลย
ตอนที่คณะจากไทยเข้าไปในเซนโตแล้ว เราก็เดินออกไปหาป้ายรถเมล์เพื่อจะไปชิโจ ก็พบว่ามันอยู่ไกลมากกกกถึงมากที่สุด แถมป้ายนั่นมีรถเมล์รอบละชั่วโมง โอ้มายก็อด เสียเวลาตายเลยนะเนี่ย ตอนกลับจากชิโจเลยลองเข้ามาอีกประตูคนละฝั่งของอิมพีเรียลพาเลซกันเลย ปรากฏว่ารถเมล์เพียบ แถมใกล้เซนโตอีกต่างหาก คือ ตอนแรกเข้ามาทางอิมพีเรียลพาเลซ ทางประตูหน้าปกติกว่าจะเดินถึงเซนโตเล่นเอาขาลาก สรุป ดีนะเนี่ยที่มีธุระที่ชิโจ ทำให้ได้สำรวจเส้นทางก่อน ไม่งั้นออกทางเดิม กว่าจะถึงป้ายรถเมล์ เสาร์ได้เดี้ยงก่อนแน่ (วันนั้นอาการเจ็บขายังทรงๆ)
หลังจากออกมาประตูใกล้ๆเซนโตพวกเราก็ไปชิโจกันเพื่อต่อรถและล่าป๊อกกี้ด้วยในเวลาเดียวกัน แต่เนื่องจากราคามันถูกเลยมีคนมาซื้อก่อนหน้าเรา ทำให้พวกเราซื้อได้ไม่ครบตามจำนวน (ขนาดไม่ครบยังซื้อไปหลายสิบกล่องเหมือนกัน) เลยมีรายการล่าป๊อกกี้กันต่อ ไปกันหลายที่ทั้งห้างทะกะชิยาม่า ห้างใหญ่ดังย่านนั้น มีชั้นอาหารใหญ่ยักษ์ด้วย เข้าไปเดินเล่น ละลานตามาก แต่ตรงนี้ต้องมาใกล้ปิด ราคาจะน่ากินมาก แต่ไม่ได้ป๊อกกี้เพราะไม่มีห้างนี้ไม่มีซุปเปอร์ เลยต้องไปห้างข้างๆ พอไปถึงมีซุปเปอร์แต่ดันไม่มีรสที่พวกเราขาดอยู่อีก ตอนนั้นนึกขึ้นได้ว่าใน Shinkyogoku มีร้านของป๊อกกี้โดยเฉพาะ เลยพานุ้ยไปหาป๊อกกี้ร้านนั้น ปรากฏว่าเป็นร้านที่ขายของป๊อกกี้จริงๆ แต่มีแต่พวกรุ่นแปลกๆเช่น ไซด์ยักษ์พิเศษ แต่แบบธรรมดาที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดดันไม่มี สรุป เดินกันทั่วชิโจ แต่ยังหาป๊อกกี้ไม่ได้เลย (ตอนนั้นวิท นั่งเฝ้าของที่ทะกะชิยาม่า เพราะว่าของมันเยอะของที่ซื้อวันนั้นทั้งนั้นเลยนะเนี่ย และหนักเอาเรื่องเหมือนกัน ขืนเดินแบกของไป หาป๊อกกี้ไปละก็ได้ขาลากกว่านี้แน่) ก่อนไปวัดคิโยมิซึ (วัดน้ำใส) พวกเราก็ตกลงกันว่าจะเอาของเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ที่สถานีรถไฟแถวนั้น เพราะขืนแบกของไปวัดน้ำใสเจอกับฝูงชนละก็ เฮ้อ ไม่อยากคิด (ไม่สามารถหลบฝูงชนในที่ท่องเที่ยวในเกียวโตได้อีกแล้ว เพราะว่าวัดน้ำใสมีไลท์อัพตอนกลางคืน และถือเป็นไฮไลท์ของวันได้เลย คนเลยเยอะเป็นพิเศษ)
ตอนนั่งรถเมล์ไปวัดน้ำใส ได้บรรยากาศผู้คนตั้งแต่บนรถเมล์แล้ว คนเพียบ แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ ผ่านลอว์สัน (ร้านสะดวกซื้อแฟรนไชส์แบรนด์หนึ่ง) ปั๊ปนุ้ยชี้ทันทีแล้วบอกว่า ขากลับต้องมาเปลี่ยนรถตรงนี้หรือเปล่า นุ้ยจะมาหาป็อกกี้ ตอนนั้นคิด โอ้พระเจ้า เสร็จทริปนี้คำว่าป๊อกกี้ติดอยู่ในสมองแน่เลย (ฮิๆ)
ถึงปากทางวัดน้ำใส พวกเราต้องปีนเนินขึ้นไปอีก เพราะว่ารถเมล์ไปไม่ถึงหน้าวัดอ่ะ ทำไงได้ รู้สึกตอนนั้นสงสารเพื่อนๆมากเลย เพราะว่าที่เที่ยวในญี่ปุ่นเป็นแบบนี้แหละ ต้องเดินเพื่อซึมซาบบรรยากาศรอบๆด้วย หลังจากปีนเนินสะท้านใจมาถึงบริเวณหน้าวัดได้ ก็พบกับบรรยากาศคึกคักท่ามกลางความมืด ตรงทางเข้ามีร้านค้าเพียบทั้งๆที่ดึกแล้ว แต่คนยังเยอะอยู่เลย แล้วก็ต้องต่อแถวเพื่อเข้าวัด ทั้งๆดูน่าจะวุ่นวายแต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดี นอกจากตำรวจแล้วคนที่มาดูแลความเรียบร้อยส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร สังเกตดูรู้สึกว่าเป็นลูกหลานคนแถวนั้น ดูแล้วให้ความรู้สึกดีว่าที่ทำหากินของเขา เขาก็ต้องช่วยกันดูแลแม้แต่คนรุ่นหนุ่มสาวก็ยังมาช่วยกันมากมาย มองเห็นอนาคตได้เลยว่าบริเวณวัดน้ำใสนี้ยังเป็นจุดท่องเที่ยวชื่อดังไปอีกนาน ก็คนรุ่นต่อไปของเขาช่วยกันซะขนาดนี้นี่
ก้าวแรกที่เข้าถึงวัดเป็นซุ้มประตูใหญ่ที่ปกติดูน่าเกรงขามอยู่แล้ว ตกกลางคืนมีไลท์อัพ (การไลท์อัพ คือการตกแต่งที่เที่ยว เช่น วัด ศาลเจ้า ด้วยแสงไฟทำให้กลางคืนก็สามารถเที่ยวได้ เป็นกลยุทธ์สร้างขอบเขตการท่องเที่ยวให้มีเวลาเที่ยวได้มากขึ้น และได้เห็นสถานที่นั้นๆในรูปแบบแปลกตา บางทีกลายเป็นจุดสำคัญของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นไปเลยก็มี) แสงไฟช่วยให้ดูดีขึ้นไปอีก อ้อ ที่นี่มีแสงดาบเลเซอร์แบบในสตาร์วอร์ด้วยนะ คือเขาจะใช้สปอตไลท์อันใหญ่มาก ส่องไฟขึ้นไปบนฟ้า เป็นแบล็คกราวน์ของวัด บางทีก็นึกว่ามันดูขัดกัน บางทีก็ดูฮาดีที่เป็นเหมือนดาบเลเซอร์อันใหญ่
แน่นอนในบริเวณวัดที่มีโมมิจิสวยๆ ย่อมมีการไลท์อัพเป็นธรรมดา ใบไม้เลยยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ ในรูปพยายามให้ติดคน แต่พอถ่ายคนมืดๆมีแบล็คกราวน์เป็นโมมิจิแดงๆนี่ ดูไปก็สวยดี ดูอีกทีก็ บรื้อๆๆๆ พวกเราเดินไปเรื่อยๆครับ เจอเทพเจ้าแห่งความสุขด้วย แน่นอนครับไม่พลาดขอพรอยู่แล้ว เทพเจ้าแห่งความสุข จะหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา มือซ้ายถือถุงความสุข มือขวาถืออะไรไม่รู้คล้ายกับค้อน ก็ไม่รู้ว่าท่านเทพเจ้าแห่งความสุขจะฟังคำขอพรของคณะจากไทยออกหรือเปล่า ส่วนเราเอาไว้เก่งภาษาญี่ปุ่นก่อนแล้วเข้ามาขอพรดีกว่า ฮิๆ คนพื้นที่นี่สบายไปหลายอย่างแฮะ
หลังจากนั้นพวกเราก็ยืนมองส่วนที่เป็นอาราม สร้างยกพื้นสูงมากหลายสิบเมตร โดยใช้การเข้าสลักของไม้ โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียวเลย แถมยังอยู่ยั่งยืนยงมาตั้งแต่สมัยเกียวโตยังเป็นเมืองหลวงอยู่ ไอ้อารามเนี่ยแหละทำให้ตอนนี้วัดน้ำใสเป็นหนึ่งในแคนดิเดทของเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ ว่างๆก็เข้าไปโหวตได้นะครับในเว็บ เพื่อเมืองผมจะมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ตรงจุดนี้จะมีระเบียงสูง ซึ่งถ้าเป็นหน้าซากุระจะไม่สามารถเบียดไปข้างหน้าได้เลย แต่หน้าโมมิจิคนยังมากไม่เท่าไรเราเลยมีโอกาสดูความสูงของอารามได้ ระเบียงนี้มีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ด้วย คือ มีแม่ทัพท่านหนึ่งหักหลังนายตนเอง แล้วถูกลูกน้องนายคนนั้นตามล่ามาจนมุมที่นี่ เลยตัดสินใจปลิดชีพตนเองโดยการกระโดดจากระเบียง ฆ่าตัวตาย แต่หลังๆมานี่กลายเป็นหนี่งจุดที่มีชื่อเสียงในด้านการฆ่าตัวตายไปซะ เพราะคนญี่ปุ่นเวลาฆ่าตัวตายอยากให้ดังต้องมาโดดที่นี่ ไม่รู้ช่วยเสริมความดังหรือว่าสร้างชื่อเสียให้ที่นี่ก็ไม่รู้
เสร็จจากบริเวณอารามด้านบนพวกเราก็ลงมายังจุดฮอตฮิตของวัดน้ำใสอีกจุดหนึ่งคือ น้ำพุศักดิ์สิทธิ์สามสาย ที่ว่ากันว่าเมื่อดื่มแล้วจะโชคดี แต่ละสายก็ดีไปคนละอย่างคือ ความรัก การเรียน การงาน (ข้อมูลจากวิท) เป็นที่ๆต้องการดื่มของวิทมาก คงหวังอะไรไว้ละซิ เล่นกินเข้าไปซะขนาดนั้น คนญี่ปุ่นเขาแค่จิบๆ นี่วิทแกเล่นกระดกเข้าไปเพียบ นานด้วย เพื่อนๆเลยกะเอามันโยนลงบ่อน้ำข้างล่างซะเลย อาบด้วยกินด้วยจะได้ขลังไงวิท (ฮ่าๆ) ส่วนเราเหมือนเดิมไม่นิยมต่อแถวยาวๆถ้าไม่จำเป็น มาวัดน้ำใสกี่ครั้งกี่ครั้งก็นั่งรอ ฮิๆสบายดีไม่เมื่อย
ก่อนจะถึงทางออกพวกเราก็ผ่านอีกหนึ่งจุดสำคัญ สระน้ำที่มีต้นเมเปิลต้นใหญ่ ใบเป็นสีแดงทั้งต้น น้ำในสระก็ใส (ก็วัดนี้ชื่อวัดน้ำใสนี่ครับ ถือกันว่าน้ำในวัดนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากทางน้ำใต้ดินบนเขา จึงใส บริสุทธิ์ เป็นที่มาของความศักดิ์สิทธิ์) ทำให้ผิวน้ำสะท้อนต้นเมเปิลกลายเป็นต้นเมเปิลสองต้น แดงสดทั้งของจริงและที่สะท้อนบนสระน้ำ (หน้าซากุระตรงนั้นก็มีต้นซากุระต้นใหญ่อยู่ด้วย ดังนั้นฤดูใบไม้ผลิคนมาชมซากุระบนผิวน้ำกันเพียบกว่านี้อีก) คนหยุดถ่ายรูปกันเพียบครับ แต่พวกเราแบตหมดกันเพียบ สุดท้ายเลยใช้กล้องในมือถือนุ้ยถ่ายเอาไว้ ไม่เป็นไร เราเก็บความงามไว้ในใจก็ได้ ว่าปีหน้าจะมาเยี่ยมอีก (คาดว่าได้มาทุกปีแน่ เพราะมันสวย)
เสร็จจากวัดคิโยมิซึพวกเราก็หิวได้ที่กันมากแล้วเพราะตอนนั้นก็สามสี่ทุ่มแล้ว แต่ยังไม่ได้กินไรเลย ตามที่ตกลงกันไว้คือ กลับไปกินโอมเล็ตหรือข้าวหน้าห่อไข่ตรงชิโจ ขากลับพวกเราก็ผ่านลอว์สันที่นุ้ยหมายตาไว้ตอนขาไปวัดน้ำใส พวกเราก็เปลี่ยนรถเมล์ที่นั้นอยู่แล้ว เป็นอันว่าวันนี้ทริปตามล่าป๊อกกี้จึงบรรลุเป้าหมายก็ที่นี่แหละ
แต่ว่าพอถึงร้านข้าวหน้าห่อไข่ที่เราหมายตาไว้ดันลาสออร์เดอร์ไปแล้ว สรุปอดรับประทาน ตอนนั้นเราคิดได้ว่ามีร้านน่ากินอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านโอโคโนมิยะกิที่วิทอยากกินพอดี ไปด้อมๆมองๆหน้าร้าน ก็เห็นว่าปิดดึกเหมือนกัน เฮ้อ ค่อยยังชั่วได้กินข้าวเย็นซะที เข้าไปปรากฏว่าเป็นร้านดังเหมือนกัน (ทริปนี้ได้กินร้านดังเยอะเหมือนกันแฮะ เราก็มั่วๆพาไปนะเนี่ย) มีมานานหลายสิบปีแล้ว บรรยากาศเก๋าๆเท่ๆน่านั่ง อืม ไว้วันหลังมากินอีกดีกว่า ฮิๆได้ร้านกินเพิ่มเลยเรา
แน่นอนครับเข้าร้านโอโคโนมิยะกิก็ต้องสั่งโอโค แต่ว่าร้านนี้มีข้าวหน้าห่อไข่ด้วย ณี อยากกินพอดี สรุปมาร้านนี้เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย
กินเสร็จกว่าจะไปเอาของนั่งรถเมล์ไปสถานีเกียวโต ต่อเจอาร์กลับบ้านที่โอบาคุ ตกลงวันสุดท้าย ที่ว่างโปรแกรมไว้หลวมๆกะกลับบ้านเร็วๆจะได้มีเวลาเก็บของ นอนเยอะๆ กลายเป็นว่ากลับดึกสุด นอนดึกสุด เฮ้อ แล้วพรุ่งนี้จะไปทันเครื่องไหมเนี่ย โปรดติดตามตอนต่อไป

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (4)


Day 8 Cake, Osaka, Furiake and Pocky (Nov. 26)
หลังจากผ่านเรื่องขนหัวลุกมาเมื่อคืนแล้ว วันนี้พวกเราดีไซน์ไว้ว่าจะไปกินบุฟเฟ่ห์เค้กร้านดังอันดับหนึ่งในเขตคันไซกัน แต่ก่อนไปเนื่องจากมีรีเควสจากคณะจากไทยว่าต้องการชาเขียวไปฝากผู้ใหญ่ในเมืองไทย และพอดีเราก็อยู่กันที่เมืองอุจิ เมืองชาเขียวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ดังนั้นจึงเริ่มทริปด้วยการไปสถานีเจอาร์อุจิก่อน นั่งจากบ้านสถานีเจอาร์โอบาคุแค่ป้ายเดียวเอง แต่ต้องเสียเวลารอเราเพราะว่า วันนี้เจอาร์เรลพาสของเราหมดแล้ว เพราะเปิดใช้ก่อนเพื่อนๆสองวัน ของเราเปิดตั้งแต่วันแรกที่ทริปเริ่มเพราะเอาไว้นั่งชินคันเซนไปโตเกียวด้วย ส่วนเพื่อนๆเริ่มวันที่ไปทะเทะยาม่า วันที่สามของทริป ดังนั้นวันนี้เราต้องนั่งรถไฟเอกชนไปแทน เพราะมีบัตรเหมาวันของรถไฟเอกชนในเขตคันไซแทน ประหยัดดีแค่พันหกร้อยเยน ขืนนั่งเจอาร์ตามคณะจากไทย คาดว่าวันนั้นไม่ต่ำกว่าสองพันกว่าเยน
เพราะฉะนั้น คณะจากไทยต้องเช็คตารางเดินรถให้แม่นๆว่าจะลงไหน ไปโอซาก้าต้องต่อรถที่ไหนบ้าง แล้วถ้าหลงจะต้องทำไหง วันนี้เลยเป็นการผจญภัยเล็กๆของคณะจากไทยไป เริ่มต้นเจอาร์อุจิ แน่นอนครับไม่มีพลาด ก็มันแค่ป้ายเดียวนี่ แต่เราที่นั่งรถไฟเอกชนไปอุจิต้องต่อรถบัสไปเจอาร์อุจิเพราะว่าสถานีเคย์ฮันอุจิ (เคย์ฮันเป็นชื่อบริษัทรถไฟเอกชนสายหนึ่งในเขตคันไซวิ่งระหว่างเมืองเกียวโต กับโอซาก้า ดังนั้นเวลาตั้งชื่อสายเลยเอาชื่อเกียวโต โอซาก้ามาหนึ่งตัวอักษร คือ เคย์ จากเกียว ฮัน มาจากซาก้า แต่อ่านแบบสมัยก่อน เลยได้คำว่า เคย์ฮัน) กับเจอาร์อุจิ ถ้าเดินไปก็ไกลเอาการเหมือนกัน แต่เหมือนสวรรค์แกล้ง อุบัติเหตุที่เราไม่เคยเจอเลยในญี่ปุ่นตลอดแปดเดือนที่มาอยู่ที่นี่ ดันเกิดแถมขวางเกือบหมด เหลือช่องเดินรถไม่กี่เลนเอง เล่นเอารถบัสที่นั่งไปเสียเวลาเลย แถมไปถึงเพื่อนก็ยังไม่ได้ซื้อชาเพราะว่าอ่านไม่ออก แถมร้านชาตรงสถานีเจอาร์ดันไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ เราก็เลยพาไปร้านที่รู้จัก (ความจริงรู้จักแค่ร้านเดียว แถมที่รู้จักเพราะว่าเดินมั่วเข้าไป เลยรู้ว่าเป็นร้านดัง ชาเขียวก็เป็นของตราสัญลักษณ์ร้านตัวเอง ซึ่งปกติร้านที่พอเจอในเมืองจะเป็นร้านขายของฝากที่รับของคนอื่นมาอีกที) แค่ทางเข้าก็เก่าแล้ว รู้สึกร้านนี้จะมีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ร้านเลยยังคงสภาพบ้านญี่ปุ่น ภายในมีห้องชงชา บรรยากาศญี่ปุ่นๆมาก มีร้านน้ำชาสองโซน แบบเก่าๆคงเอกลักษณ์ญี่ปุ่นไว้ กับส่วนคาเฟ่ห์เป็นแบบญี่ปุ่นประยุกต์ เสียดายไม่ได้กิน เพราะว่าเช้าทานขนมปังมาแล้ว และราคาคาเฟ่ห์ร้านนี้ก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน (ฮิๆ เก็บท้องไว้กินบุฟเฟห์เค้กดีกว่า) คณะจากไทยซื้อไปหลายเหมือนกัน ร้อยกรัมพันเยนได้ แพงเหมือนกันนะเนี่ย ชาเขียวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
อ้อ ใช่ นอกจากนี้เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่ดังในอีกแง่หนึ่ง คือ เป็นเมืองที่ใช้เป็นฉากในตำนานของเกนจิ ซึ่งเป็นนิยายรักๆใคร่ของเจ้าชายองค์หนึ่ง นิยายเรื่องนี้ดังมากในญี่ปุ่น แถมเป็นนิยายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย แรกๆมาก็งงเหมือนกัน เพราะมันจะมีจุดที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง แล้วเขาจะทำป้ายเล่าเรื่องเป็นจุดๆไป ก็งงว่ามันเรื่องอะไรว่า มีหลายจุดทั่วไปในเมืองเลย
และแล้วพวกเราก็ต้องแยกกันที่เจอาร์อุจิ เพราะเราไปรถไฟเอกชน ส่วนคณะจากไทยไปเจอาร์ วันนี้ไปโอซาก้าเริ่มที่นัมบะ เป็นย่านดาวน์ทาวน์ของโอซาก้า ซึ่งโอซาก้ามีดาวน์ทาวน์ใหญ่ๆสองแห่ง คือ อุเมดะ (แปลว่าสวนบ๊วย สงสัยเมื่อก่อนตรงนั้นปลูกบ๊วยกันเยอะ แต่ตอนนี้กลายเป็นตึกไปหมดแล้ว) อยู่ทางเหนือของเมืองย่านเดียวกับสถานีโอซาก้า ส่วนนัมบะอยู่ทางใต้ ซึ่งจากอุจิมีทางรถไฟไปสถานีเจอาร์นัมบะเลยไม่ต้องผ่านสถานีเกียวโต (ถ้าไปอุเมดะ ผ่านสถานีเกียวโตก่อนจะเร็วกว่า) เส้นทางก็ยังไม่เคยไป แต่คณะจากไทยวันนี้ต้องไปเองแล้วครับ ต้องไปเปลี่ยนรถด้วย คิดในใจสนุกแน่ อย่าหลงนะเพื่อน ก็นัดกันที่สถานีนัมบะ ทางออกกลาง (Central Gate) ส่วนเราก็ต้องเปลี่ยนเราหลายรอบเหมือนกัน อย่างที่เล่ามาก่อนหน้านี้ว่า มีอุบัติเหตุรถชนระหว่างสถานีเจอาร์อุจิกับเคย์ฮันอุจิ ดังนั้นย้อนกลับไปละก็เสียเวลาตาย รถติดจนเลยหน้าสถานีเจอาร์อุจิไปอีก อีกฝั่งโล่งเลย เราเลยตัดสินใจไปหาสถานีรถไฟเอาข้างหน้าก็ได้ว่ะ ก็ได้นั่งรถไฟบริษัทคินเทตซึ เหลือเชื่อครับ นั่งสักพักหลับเลย คงเพราะนั่งคนเดียวมั้ง ไม่ต้องกังวลอะไร เรามันคนท้องที่ หลงก็กลับได้ ได้หลับสักหน่อยค่อยยังชั่วหน่อย สักพักใหญ่ๆก็ถึงสถานีคินเทตซึนัมบะ แต่ถึงแม้ว่าจะเรียกว่านัมบะเหมือนกัน แต่มันเป็นชื่อย่าน ลงมาป้าป หาแผนที่ก่อนเลยปรากฏว่าเจอาร์กับคินเทตซึไม่ได้ใกล้กันเลย ในใจก็คิดว่าสายแน่ พวกนั้นต้องถึงก่อนแน่ พอเดินไปถึงเห็น North Gate ก็พอดีกับคณะจากไทยกำลังเดินอยู่ในสถานีเจอาร์มุ่งหน้ามาทางเราพอดี ก็งงเพราะนัดกัน Central Gate นี่ไหงมาฝั่งนอร์ทละเนี่ย สอบถามได้ความว่ามันมีฝั่งนอร์ทกับ South Gate อ้าว เวรแล้วไหมละไปสถานีเจอาร์ใหญ่ๆทุกที่มีเซ็นทรัลหมด มีไอ้นัมบะเนี่ยแหละสถานีใหญ่ แต่มีแค่สองทางออก เกือบไปแล้วไหมละ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าต้องมีแผนสำรอง ประมาณว่าเกิดไม่มีเซ็นทรัล ก็ให้ออกฝั่งนอร์ทแทน อะไรประมาณเนี้ย
ถือเป็นโชคของพวกเราไม่ต้องเสียเวลาหากันอีก เจอกันโดยบังเอิญก็ดีแล้ว อ้อ ที่กลัวว่าเราจะถึงช้ากว่านั้น ปรากฏว่าคณะจากไทยต้องเปลี่ยนรถหลายรอบเหมือนกัน แถมจังหวะไม่ดี ต้องรอนาน เลยมาถึงหลังเรา นอกจากนี้ทุกคนอดชาร์จแบตในรถไฟครับ เพราะเราไม่อยู่ด้วย เลยต้องช่วยกันดูเอาเองว่าถึงสถานีที่จะต้องเปลี่ยนรถหรือยัง ฮ่าๆ ส่วนเราหลับสบาย
เป้าหมายของเราเมื่อถึงนัมบะคือ ตามล่าหาร้านเค้ก ตอนนั้นก็จะบ่ายสองแล้ว หิวอะ ถึงแม้จะแผนที่ที่จดมาจากเน็ตแล้วก็ตาม แต่เราเพิ่งเดินนัมบะครั้งนี้ก็ครั้งที่สองเอง แถมครั้งแรกเดินแค่เสี้ยวเดียวของย่านด้วย (ปกติมาเที่ยวโอซาก้า เดินแต่ย่านอุเมดะ) เสียวเหมือนกันจะพาเพื่อนๆมั่วอีก เริ่มเดินจากเจอาร์นัมบะ ผ่านไปตามเมืองใต้ดิน ชื่อ นัน นัน (มาจากชื่อย่านนัมบะ หรือนันบะ) ถูกแล้วครับเมืองใต้ดิน ที่ดูในรูปคงนึกว่าเดินในห้างละซิ แต่ที่เห็นร้านค้าเยอะแยะ มีทางเดินที่เหมือนเดินในแกลลอรี่นั้นเกิดจากการพัฒนาชั้นใต้ดินของห้างต่างๆและสถานีรถไฟที่อยู่ใต้ดินในย่านนั้นให้เชื่อมถึงกันหมด ทำให้เกิดเมืองใต้ดินขึ้นมา (ความจริงลักษณะอย่างนี้พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองใหญ่ เพราะที่ดินในญี่ปุ่นแพงมาก จึงมีการพัฒนาลงมาใต้ดินด้วย) ร้านค้าเยอะมาก ระหว่างทางเดินไปร้านเค้กก็แวะไปหลายร้านเหมือนกัน ดูท่าทาง ณี จะดีใจเพราะยังไม่ได้ชอปอะไรเลย ตรงนี้ร้านเยอะดี คนก็เยอะคึกคักดี ตอนนั้นฝนตกข้างนอกด้วย เดินใต้ดินสบายๆ ไม่ต้องกลัวฝนตก แถมอุ่นต่างหาก มีป้ายบอกทางอยู่เรื่อยๆด้วยไม่ต้องกลัวหลง จนในที่สุดออกมาทางสถานีรถไฟใต้ดินสายมิซุจิ (นัมบะมีรถไฟหลายสายมาบรรจบกัน ประมาณเกือบสิบสายได้มั้ง) เราก็พาออกมาเดินเห็นแสงตะวันมั้ง ออกมาตรงศูนย์กลางของย่านหลาย คือ หน้าห้างทะกะชิยาม่า กับห้าง 0101 (ชื่อห้างมันเขียนอย่างนี้จริงๆนะ) ตรงนี้มีตึกสวยๆหลายตึก หลายแชะไปหลายเหมือนกัน สังเกตได้ว่าฝนตกอยู่ เริ่มกลางร่มเดินกันแล้ว พวกเราเดินไปตามถนนมิซุจิ ซึ่งเชื่อมระหว่างนัมบะกับอุเมดะด้วย จนพวกเรามาถึงร้านเค้กจนได้ ร้านชื่อ Sweets Paradise แม้นว่าตอนนั้นเวลาจะล่วงเลยไปบ่ายแก่ๆแล้วก็ตาม คนยังเข้าคิวกันอยู่เลยครับ โฮ ถ้ามาถึงตอนเที่ยงไม่ต้องยืนรอหรือเนี่ย (เข้าคิวก็จริงแต่เขาจัดที่นั่งให้รอ แต่ก็ไม่มากนัก) ระหว่างรอก็ผูกมิตรกับสาวญี่ปุ่น พูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แถมน่ารักด้วย เสียดายมากับแฟน ที่คณะจากไทยได้คุยเพราะว่าเราไม่รู้วิธีการใช้เครื่องอัตโนมัติซื้อตั๋วไปกินในร้าน ร้านใช้ระบบให้จ่ายก่อนผ่านตู้อัตโนมัติ ตัวร้านเล็กมาก ประมาณตึกแถวขนาดห้องเดียว เขาเลยต้องตั้งโต็ะเรียงเดี่ยวตามความยาวร้าน อีกด้านเป็นครัวและที่วางอาหาร เห็นแล้วให้ความรู้สึกมากินที่ญี่ปุ่นจริงๆ ที่แพง ต้องประหยัดที่แบบนี่แหละ
พอถึงคิวก็โซ้ยละครับหิวแล้ว จ่ายไปพันสองร้อยแปดสิบเยน มีเวลาชั่วโมงครึ่ง มีอาหารหลัก เค้กสามสิบกว่าชนิด น้ำต่างๆ กินสปาเก็ตตี้อร่อยมาก เค้กก็อร่อย ไม่นึกว่ามากินแบบบุฟเฟ่ห์เลย แต่ว่าเค้กสู้เค้กที่ขายเป็นชิ้นๆไม่ได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ ร้านนี้มีจานหลักให้ด้วย แถมราคาไม่แพง ปกติกินบุฟเฟห์ในญี่ปุ่นอย่างถูกๆก็สองพันเยน พันเยนหาดีๆกินยากมาก อ้อ ลืมบอกไปว่าร้านนี้เป็นอันดับหนึ่งในหมวด บุฟเฟ่ห์ ไม่ใช่หมวดร้านเค้ก แต่พอดีเป็นบุฟเฟห์เค้ก สรุปมื้อนั้นกินเค้กไปหลายชนิดมาก ที่ยังจำรสชาติอร่อยได้อยู่รู้สึกเป็นเค้กชาเขียว เข้มข้นดี ส่วนจานหลักก็กินไปเพียบโดยเฉพาะสปาเก็ตตี้ อิ่มสบายท้องไปเลย
เป้าหมายต่อไปเป็น การตามล่าผงโรยข้าว (Furiake) จากการสำรวจจากเน็ตพบว่ามีร้านร้อยเยน Daiso แฟรนไชส์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอยู่ใกล้ที่สุดอยู่ที่สถานีนิปปอนบาชิ เดินไปเกือบกิโลได้ พวกเราก็เริ่มเดินจากร้านเค้ก ย่าน Shinsaibashi-suji ซึ่งตรงนั้นเป็นย่านสไตล์แบบ Shinkyogoku ที่เดินแถวซังโจเมื่อคืน (ความจริงมีทางเดินแบบนั้น มีหลังคาคลุมมาตลอดทางตั้งแต่ห้าง 0101 แล้ว แต่เลือกเดินถนนใหญ่เพราะความไม่เจนพื้นที่ เลยต้องพาคณะจากไทยถือร่มเดินกลางสายฝนเลย) คนเยอะมากกกกกกกก เยอะที่สุดที่เคยเจอมาในทริปนี้แล้ว เราก้มมองพื้นที่แปปเดียว คณะจากไทยหายไปจากสายตาเสียแล้ว แล้วผู้คนก็ใส่เสื้อสีโทนมืดกันหมด กลืนไปกับฝูงชนหมด (ก่อนมาลืมเตือนไปว่าให้เสื้อสีเจ็บๆมาด้วย เวลาเดินกับฝูงชน จะได้เห็นแต่ไกล) ก็กะว่าถึงแยกหน้าแล้วจะหยุด เพราะคิดว่าสาวๆเมื่อคลาดกันแล้วไม่น่าจะเดินต่อไปไกล สักพักก็เจอ เฮ้อ ดูถูกคนเยอะๆของที่นี่ไม่ได้เลย
ทางไปสถานีนิปปอนบาชิ มีทางเลือกสองทาง คือ เดินใต้หลังคาของย่านนั้นไปเรื่อยๆ หรือตัดไปทางถนน Dotombori ซึ่งมีร้านอันดับหนึ่งของประเทศอยู่หลายร้าน เช่น โอโคโนมิยากิ (พิซซ่าญี่ปุ่น) ร้านปู ร้านปลาปักเป้า แต่เนื่องจากเป็นย่านดัง ร้านดัง ราคาเลยดัง (แพง) ตามไปด้วย สำหรับพวกเราขอผ่านแล้วกัน แต่เนื่องจากวิทอยากกินทะโกะยะกิอันดับหนึ่งของประเทศ เลยพาเดินถือร่มกลางฝนไปทางโดโตมโบริ โชคดี ฝนตกคนไม่เยอะมาก เข้าแถวกันยาวไม่เท่าไร ไอ้วิทเข้าแถวไปนะครับ คนขายเห็นหน้ารู้เลยว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่น ส่งภาษาอังกฤษมาทันทีครับ แหม สมเป็นร้านดัง สงสัยคนต่างชาติมากินกันบ่อย ตอนนั้นสาวๆเห็นร้านร้อยเยนอยู่ข้างๆครับ ร้านเล็กถึงเล็กมาก แต่มีครับ มีผงโรยข้าวอยู่ด้วย มีหลากแบบหลากสไตล์ ไม่อยากเชื่อ ร้านเล็กแค่เนี้ย มีขายด้วย พอดูชื่อร้านถึงบางอ้อ เพราะมันคือร้าน Silk แฟรนไชส์อันดันสองนั่นเอง พอดีไม่ได้เช็คเจ้านี้มา เลยไม่รู้ว่ามีอยู่ใกล้ๆนัมบะด้วย ถือเป็นโชคอย่างมากเลยที่วิทอยากกินทะโกะยากิ ไม่งั้นพาเดินใต้หลังคาย่าน Shinsaibashi-suji ไปนิปปอนบาชิ ก็ไม่เจอร้านนั้นแล้ว ดีไม่ต้องเดินกันเกือบกิโลไปไกล
หลังจากเจอผงโรยข้าวโดยบังเอิญ พวกเราก็ออกจากย่านนั้นไปจุดหมายต่อไปของเรากันต่อ นั่นคือ อุเมดะ (คุ้มจริงๆมาวันเดียวได้เดินสองย่านดังของโอซาก้าเลย) เพื่อไปขึ้นเฟอร์ริสวีล หรือ ชิงช้าสวรรค์ยักษ์บ้านเรานั่นเอง การเดินทางสามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปได้เลย แต่ถ้าไปเจอาร์ก็ต้องอ้อมรอบเมืองผ่านเส้น Loop Line แถมต้องเดินไปเจอาร์นัมบะอีก ค่อนข้างไกลจากจุดที่พวกเราอยู่เหมือนกัน แต่แค่สองร้อยเยนกับรถไฟใต้ดิน คณะจากไทยเลยเลือกใช้บริการใต้ดินของเมืองโอซาก้าแทน ส่วนเราไม่ต้องเสียเพราะใช้ตั๋วเหมาหนึ่งวันของเอกชนในคันไซแล้ว (รถไฟใต้ดินส่วนใหญ่ดำเนินงานโดย เมือง เช่น Osaka city Kyoto city ซึ่งเป็นส่วนการปกครองท้องถิ่น ถือได้ว่าเป็นสายเอกชนสายหนึ่ง)
ถึงย่านอุเมดะ ซึ่งใหญ่กว่าย่านนัมบะอีก พวกเราเริ่มการเดินทาง เพื่อไป Hev 5 ที่ตั้งเฟอร์ริสวีล ซึ่งในเขตคันไซที่เราเห็นก็มีอยู่สามที่ คือที่อ่าวโกเบ อควาเรียมโอซาก้า (ที่นี่เคยเป็นอันที่สูงที่สุดในโลก แต่ดูเก่าๆแล้ว แถมวันที่ไปแถวนั้นฝนตกต่างหาก) และที่เฮฟ ไฟว์นี่แหละใหม่สุด แถมเป็นอันที่สร้างอยู่ในตึก จุดที่พวกเราต้องขึ้นไปเพื่อเริ่มขึ้นชิงช้านั้นอยู่ชั้นเจ็ดของตึก สำหรับเราแล้วรู้สึกว่าอันนี้แหละสวยที่สุดแล้ว ในบรรดาที่เราเคยไปมานะ เห็นทิวทัศน์กลางเมืองโอซาก้าได้ดีเลยที่เดียว เห็นตึกแฝดสัญลักษณ์อันหนึ่งของโอซาก้าด้วย บนตึกแฝดมีสวนลอยฟ้าด้วย แต่วันนั้นอากาศไม่อำนวยเลยไม่ขึ้นดีกว่า จำได้ว่าวิทตื่นเต้นใหญ่เลยตอนอยู่บนชิงช้า ถ่ายรูปเพียบ เพราะว่าวิวมองด้วยตาเปล่านี้เห็นแบบสามร้อยหกสิบองศา แสงสียามค่ำคืนของโอซาก้านี่ก็ไม่ใช่ย่อย เสียดายกระจกกอนโดร่าไม่ใสเพราะฝน แล้วก็เสียงน้อย เลยถ่ายออกมาไม่สวยเท่าที่ตาพวกเราเห็น สำหรับเรา ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาสิบห้านาทีที่ได้หยุดคิด ปล่อยใจไปกับวิวเมืองโอซาก้า ถือว่าคุ้มกับตังค์ที่เสียไปนะ คุ้มมากเลย ออกมาตรงทางออกเป็นชั้นร้านอาหารพอดี เดินดูหลายร้านเหมือนกัน น่ากินทั้งนั้น มีร้านออมเล็ตที่ณีอยากกิน มีร้านพาเฟ่ห์ด้วย เราชอบสั่งถ้วยใหญ่ๆ หนักเป็นกิโลมากินกับเพื่อนๆ แต่ยังอิ่มจากมื้อเที่ยงอยู่ เลยได้แค่ถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆ ไม่ได้ลองชิม
สถานีต่อไปคือ ร้าน Sanrio ที่เช็คมาว่าอยู่ตึกเดียวกันนั่นแหละอยู่ชั้นห้าปรากฏว่าเดินจนเมื่อยทั้งชั้นก็ไม่เห็นคิตตี้ซักตัว เรา วิท นุ้ย เลยลงมาชั้นหนึ่งหาอินฟอร์เมชั่น ลงมาปุปเป็นแบบเดียวกับที่พารากอนเลย เรามั่นใจว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้แน่ เลยปล่อยให้นุ้ยเข้าไปส่งภาษาอังกฤษกับเขา ที่นี่คงรู้แหละว่า แขกส่วนใหญ่ที่มาเดินเป็นผู้หญิง Ambassador แต่ละคนเป็นผู้ชายหมด เราแค่เห็นก็ขี้เกียจเข้าไปถามแล้ว ให้นุ้ยไปคุยกับหนุ่มๆดีกว่า ได้ความว่ามันอยู่ตึกเฮฟจริงนั่นแหละ แต่เป็นตึกเก่าชื่อ Hev Navio อยู่ข้างๆกันนั่นแหละ เฮ้อในที่สุดก็เจอน้อง Kitty ซะที ถึงร้านปล่อยให้วิทกับนุ้ยเข้าไปเลือกซื้อ ส่วน เรา เสาร์ ณี เมื่อยแล้ว นั่งลงกับพื้นข้างๆร้านนั่นแหละ ไม่ไหวแล้ว เอ พวกเรามาเที่ยวหรือว่ามาเข้าค่ายฝึก ร.ด. กันว่า เดินกันโหดจริงๆ
เมื่อหาซื้อของที่ต้องการได้แล้วตามโปรแกรม พวกเราก็ต้องแยกกันอีกแล้ว จากสถานีเจอาร์โอซาก้า นัดเจอกันอีกทีเจอาร์โอบาคุเลย ค่อนข้างมั่นใจว่าเพื่อนๆไม่น่าพลาด เพราะเส้นทางนี้เดินทางกันบ่อย เราก็บอกชานชลาไปว่าไปขึ้นชินไคโซคุที่ไหน แต่เนื่องจากสายนี้มันวิ่งยาวมาก เพราะฉะนั้นปลายทางไม่ใช่เกียวโต ตอนดูป้ายก็ไม่ได้เช็คให้มั่นใจว่ามันวิ่งไปทางเกียวโตหรือเปล่า หรือไปด้านหนึ่ง แต่คณะจากไทยก็เข้าไปเสียแล้ว เราก็เสียวอยู่ แต่คิดว่าเพื่อนๆเราฉลาด ไม่น่าขึ้นผิดด้านหรอก ฮิๆ (แต่ตอนนั้นเสียวจริงๆนะ กลัวคณะจากไทยหลง แล้วต้องไปรับไกล ฮะๆ แต่สุดท้ายก็บอกไปถูกขบวน) ส่วนเราเห็นเวลาใกล้สองทุ่มแล้ว ไปดูตารางรถไฟ เห็นเคย์ฮันขาดระยะพอดี มีเวลาเลยไปเดินเล่นสถานีเคย์ฮัน โยโดยะบาชิ ก่อน เพราะรู้ว่าเวลาสองทุ่มห้างเริ่มปิด อะไรที่ขายไม่หมด เขาจะเริ่มเอามาเซลล์ ตามแผนเลยครับ ไปถึงมิสเตอร์โดนัท กำลังลดครึ่งราคา ทำเป็นกล่องสิบชิ้นแค่หกร้อยเยนเอง (ปกติชิ้นละร้อยยี่สิบเยน) ซื้อกลับไปฝากคณะจากไทย และท้องตัวเองทันทีครับ เสียดายเราไม่ได้อยู่ใกล้ห้างแบบนี้ ไม่งั้นได้อ้วนตาย เพราะอร่อย แล้วก็ถูก
กลับมาถึงสถานีเคย์ฮัน โอบาคุ เริ่มกังวลใจอีกแล้วเพราะว่าเราเสียเวลาที่โยโดยะบาชิไปนานเหมือนกัน แต่ชาวคณะก็มาถึงช้ากว่าเราเสียอีกเพราะว่า นั่งรถเร็วจากสถานีเกียวโตมาโอบาคุ แต่ความจริงบ้านผมมีแต่รถธรรมดาจอดคร้าบ คณะจากไทยเลยต้องเสียเวลาเปลี่ยนรถอยู่นาน กว่าจะมาถึงโอบาคุได้ สรุปวันนี้ ถึงจะแยกกัน แต่ก็ไม่มีปัญหา ไม่หลง แต่ก็ได้เสียวบ้างบางจังหวะ คืนนี้กินกันง่ายๆ ที่ห้อง แถมได้มิสเตอร์โดนัทมาถุงใหญ่อีก สบายไปอีกหนึ่งมื้อ อ้อ วันนี้ทุกคนพร้อมเพรียงกัน เป่าผมในห้องนอนกันหมด เนื่องจากเรื่องของไอ้วิทเมื่อคืนนั่นแหละ ฮาดี

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (3)



Day 7 Amazing Himeji Castle (Nov. 25)
หลังจากเที่ยวสบายๆในเกียวโตมาหนึ่งวันแล้ว ก็ตามแผนเดิมคือ วันหยุดออกไปเมืองอื่น หนีคลื่นมหาชนที่มาเที่ยวเกียวโต แต่ถึงจะไปเมืองอื่นก็เหอะ ที่เราจะไปมันเป็นแลนด์มาร์คของญี่ปุ่นเหมือนกันและไกลจากเกียวโตเป็นร้อยสามสิบกิโล ไกลพอดูต้องตื่นเช้ามากอีกแล้วครับท่าน จุดแรกของวันคือ ปราสาทฮิเมจิ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ปราสาทที่ยังหลงเหลือมาจากยุคซามูไร เพราะถูกทำลายไปจากการปฏิวัติเมจิ หรือการคืนอำนาจให้องค์จักรพรรดิเมจิ จากการครองอำนาจของโชกุนหรือหัวหน้าทางทหารจากตระกูลโตกุกะว่านั่นเอง นอกจากนี้ยังมีไฟสงครามโลก ที่ทำให้ปราสาทจำนวนมากเสียหายไปแล้วต้องสร้างกันใหม่ สี่ปราสาทที่ยังเป็นเช่นเดิมตั้งแต่ยุคซามูไร ได้แก่ ปราสาทฮิเมจิ ปราสาทฮิโกเนะ (อยู่จังหวัดชิกะ ข้างๆเกียวโต เคยเดินเล่นสวนรอบๆมาแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน) ปราสาทในนะโกย่า (จำชื่อไม่ได้) และปราสาทมัทซึโมโตะ ยังจำได้กันอีกหรือเปล่า ปราสาทมัทซึโมโตะ ก็อยู่มัทซึโมโตะ จังหวัดนะกะโนะ สถานีหนึ่งที่ชาวคณะต้องไปเปลี่ยนเจอาร์ไง สรุปพวกเรามาเที่ยวกันแปปเดียวได้ผ่านมาสองปราสาทแล้ว
ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสี่ปราสาท และเป็นปราสาทที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นด้วย วันนี้เป็นวันเสาร์คนเพียบแน่ ดังนั้นพวกเราก็ตื่นกันแต่เช้าอีกแล้วครับ ออกจากโอบาคุตั้งแต่หกโมงกว่า ไปต่อชินคันเซน โคไดมะ ที่สถานีเกียวโต ถึงแม้จะเป็นคลาส โคไดมะ แต่ก็วิ่งเร็วเท่ากับคลาสอื่นเพราะว่า ปลายทางเป็นสถานีชินโอซาก้า ซึ่งแค่สถานีเดียวจากเกียวโต และเนื่องจากเช้ามาก ชินคันเซนที่ตรงไปปราสาทฮิเมจิเลยยังไม่วิ่ง พวกเราก็ต้องไปเปลี่ยนชินคันเซนอีกที่ชินโอซาก้า คราวนี้เปลี่ยนเป็น ฮิคาริ เรล สตาร์ (Hikari Rail Star) เป็นรถรุ่นใหม่กว่าฮิคาริที่พวกเรานั่งมาจากโตเกียว วิ่งจากชินโอซาก้าไปฟุกุโอกะ บนเกาะคิวชู เกาะใต้สุดของสี่เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น พวกเรามาถึงฮิเมจิได้เร็วตามแผนคือแปดโมงสิบห้านาที เวลาเปิดปราสาทเก้าโมงเช้า แต่เผื่อเวลาไว้เดินเล่นระหว่างทางจากสถานีไปปราสาท และบริเวณรอบๆปราสาท ระหว่างทางมีต้นกิงโกะ หรือแป๊ะก้วยบ้านเรานั่นแหละ ใบกำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่าม สองข้างทาง พวกเราไม่พลาดเก็บรูปกันอยู่แล้ว แสงสวย ท้องฟ้าสดใสอย่างนี้หายาก ต้องเก็บภาพวันนี้เยอะหน่อยแล้ว ซึ่งกว่าพวกเราจะผ่านจุดสวยๆระหว่างทางจนมาถึงประตูปราสาทจริงๆได้ก็ปาเข้าไปเก้าโมงกว่าแล้ว เห็นไหมว่ามันสวยจริงๆ
ตอนซื้อตั๋วสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายบอกว่าที่นี่มีไกด์พูดภาษาอังกฤษได้ แถมฟรีต่างหากมีหรือจะพลาด พอพวกเรารีเควสไกด์ไปปั๊ป เขาก็เอาป้ายไกด์ออก แสดงว่าเช้าๆอย่างนี้มีแค่คุณไกด์ของเราคนเดียว เกือบอดได้ไกด์ภาษาอังกฤษแล้ว ลืมบอกไปเขาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่โรงเรียนแถวนี้ ที่ไม่เก็บตังค์เพราะว่า โครงการนี้เป็นอาสาสมัครช่วยกันทำให้เมืองนี้น่าท่องเที่ยว เป็นความร่วมมือจากชุมชนที่น่าชื่นชมจริงๆ เรารู้สึกชื่นชมเขาจริงๆนะ นอกจากนี้ถ้าขาดเขาแล้วละก็ไม่มีทางเดินเที่ยวชมได้สนุกอย่างนี้หรอก แล้วก็คงเสียเวลาหลงทางในปราสาทอีกนาน เพราะว่าทางเขา ทางขึ้นสลับซับซ้อนมาก สมัยก่อนเวลาสงครามต้องตั้งรับภายในปราสาท ทหารฝั่งตรงข้ามเข้ามาจะได้บุกได้ยากๆ เช่น
มีการทำลักษณะภายนอกให้หลอกตา ทำปราสาทให้ดูเหมือนมีห้าชั้น ด้านนอกมีกำแพงอยู่ ซึ่งในกำแพงนั้นมีอีกสองชั้น ความจริงแล้วรวมกันมีเจ็ดชั้น ดังนั้นเวลาศัตรูเข้ามาปีนไปได้ห้าชั้นก็นึกว่าหมดแล้ว
ประตูจำนวนมาก ทางภายในที่คดเคี้ยว บังสายตาไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีลักษณะเช่นไร คุณไกด์บอกว่าเป็นการสร้างเพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกกลัว เพราะคนเราเมื่อมองไม่เห็นก็จะจินตนาการไปเอง กลัวโน้นกลัวนี่ว่าข้างหน้าจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ประตูก็เตี้ยลงมาจากทางเดินมาก คุณไกด์ก็บอกว่าให้ทหารที่ไม่ระวัง วิ่งขึ้นมาก็โป๊กหัวอีก แต่ตอนนี้กลายเป็นทัวริสต์ต้องมาระวังแทนแล้ว มันเตี้ยได้ใจเหมือนกัน ตรงประตูพวกนี้เมื่อก่อนก็จะมียามรักษาประตูไว้ คุณไกด์ก็เล่าว่า เวลาขนน้ำเข้ามาในปราสาท เพื่อป้องกันการวางยา ยามต้องเช็คน้ำพวกนั้นก่อน แล้วก็ตายก่อนประจำ เพราะมันดันวางยามาในน้ำจริงๆ ยามเป็นตำแหน่งที่เสี่ยงตายก่อนจริงๆ
ตอนขึ้นไปก็มีทริกอีกมากมาย ทริคที่เป็นจิตวิทยาก็มีเช่น ผ่านประตูภายในเข้าไปมีสองทาง ทางหนึ่งมีลักษณะลาดขึ้น คนทั่วไปนึกว่าเป็นทางขึ้นปราสาท ก็ไปทางนั้นที่ไหนได้เป็นทางตัน ความจริงต้องไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทางลาดลง คนทั่วไปคงคิดว่าเป็นทางออกจากปราสาท แต่พอผ่านประตูเล็กๆไป กลับเป็นทางเดินต่อไปยังทางขึ้นปราสาท
บริเวณภายนอกยังไม่ได้เข้าปราสาท พวกเราก็งงว่าทำไมกำแพงข้างๆ บริเวณนี้ เขาเจาะรูเป็นรูปสามเหลี่ยมบ้าง กลมๆบ้างๆ คุณไกด์ก็แจงข้อสงสัยพวกเราว่า บริเวณนี้มักจะเป็นกับดักให้ศัตรูมาติดแถวนี้ แล้วทหารจะยิงธนูบ้าง ข้างหอกบ้างจากกำแพงมาฆ่า ที่เจาะกำแพงเป็นรูปต่างๆ ถือเป็นความเมตตาให้ระหว่างติดกับดักรอความตายมีของสวยๆให้ดูไว้ด้วย โฮ น่ากลัวอะ ถึงแม้จะเป็นการตายแบบสุนทรียก็เหอะ
บริเวณกำแพงก็มีทริค คือ นอกจากจะเข้าไปตามทางแคบๆแล้ว ศัตรูก็มักปีนขึ้นไปตรงกำแพง ตรงกำแพงบริเวณมุม เขาก็ทำให้ปีนได้ง่ายๆ แรกก็งงว่าทำให้ปีนง่ายๆทำไม คุณไกด์ก็บอกว่า เป็นเพราะต้องการหลอกให้ศัตรูปีนไปทางนั้น ความจริงแล้วข้างบนที่ดูเหมือนอะไรไม่รู้ ประดับปราสาท แต่เป็นช่องที่สามารถเทน้ำเดือดลงมาได้ สรุป หลอกให้ตายใจ ไปทางที่สบาย แต่เตรียมน้ำเดือดรอไว้อยู่แล้ว โหดว่ะ
ระหว่างทางขึ้นเขาก็ปลูกต้นไรไม่รู้เตี้ยเลี่ยไปกับพื้น เป็นหย่อมๆ บ้างที่ก็ใหญ่เหมือนกัน โดยเฉพาะมุมๆทางเดิน คุณไกด์บอกว่า ใบต้นเนี่ยมันลื่นมาก เวลาศัตรูบุกปราสาทก็ต้องวิ่งเข้ามาไช่ไหม เพื่อป้องกันห่ากระสุน ห่าธนูก็ต้องเตรียมโล่มาด้วย แต่เจอต้นไอ้เนี่ยมันลื่น ก็ล้มง่าย กลายเป็นเป้าให้ทหารเฝ้าปราสาทไป
นี้แค่ทางภายในกำแพงปราสาทเองนะครับ ยังไม่ได้เข้าตัวปราสาทจริงๆเลย ทริคเยอะมากกกกกกกก จำได้ไม่หมด ที่เล่ามาเป็นแค่บางส่วนเอง นี้ถ้าไม่ได้คุณไกด์มีหวังติดกับไปเยอะแล้ว นอกจากทริคพวกนั้นแล้ว พวกเราได้เห็นซากุระบานด้วย ใช่แล้วครับมันบานจริงๆ ผมไม่ได้โม้ คุณไกด์บอกว่ามันชื่อ ซากุระเดือนสิบ เป็นซากุระอีกพันธ์หนึ่ง พิเศษสุดตรงที่พันธ์ทั่วไปจะบานตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ และบานแค่อาทิตย์เดียวก็ร่วง แต่ซากุระเดือนสิบจะเริ่มบานตั้งแต่เดือนสิบลากยาวไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ทำให้พวกเราได้เห็นซากุระบานด้วย ช่างเป็นทริปที่คุ้มจริงๆ เห็นทั้งใบไม้แดง และซากุระบาน (ความจริง พวกเราก็เห็นต้นนี้แล้ว ที่อะระชิยะม่า แต่ไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไร ถ้าไม่ได้คุณไกด์ สงสัยป่านนี้ยังไม่รู้เลยนะเนี่ย) นอกจากต้นซากุระแล้วคุณไกด์ก็แนะนำถึงความหมายของการประดับกำแพง จะมีเหมือนตราสัญลักษณ์ประดับอยู่ตามหลังคากำแพง เป็นช่องๆไป มีหลายตรา ว่าตราเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่า ตระกูลใดเคยครอบครองปราสาทนี้มั่ง มีทั้งตราตระกูลโตกุกาว่า ตราตระกูลที่เคยครอบครองปราสาทนี้ และตราตระกูลไดเมียวเขตนี้(Lord ของเมืองนั้นๆ) เป็นรูปผีเสื้อ สวยดี รู้สึกตระกูลที่ครอบครองปราสาทฮิเมจิบ่อยที่สุด และตระกูลสุดท้ายก่อนการปฏิวัติเมจิ จะชื่อ มัทซึไดระ นะถ้าจำไม่ผิด
หลังจากผ่านทริคต่างๆ รอบปราสาท และแล้วในที่สุดพวกเราก็มาถึงตัวปราสาทจริงๆได้ซะที เล่นเอาเหนื่อยไปเลย ชั้นหนึ่งกับชั้นสองนั้น มองจากภายนอกไม่เห็นครับ เพราะเขาสร้างกำแพงบังเอาไว้ และเป็นชั้นใต้ดินของปราสาท ดังนั้นภายในมืดมาก คุณไกด์ก็บอกว่าเป็นทริค (ทริคอีกแล้วครับท่าน เป็นผมไม่บุกแล้วปราสาทนี้ ทริคเยอะ) เพราะเมื่อมองจากภายนอกท้องฟ้าสดใส แต่พอเข้ามาข้างในปราสาทกลายเป็นมืดได้ไงไม่รู้ ศัตรูจะได้หวั่นใจ กลัวขึ้นมา ตรงชั้นใต้ดิน พวกเราก็จะเห็นเสาสี่ต้นใหญ่มาก เป็นเสาหลักของปราสาท คุณไกด์บอกว่าตัดมาจากป่ารอบๆนี้ ทึ่งว่าเขาขนกันมาได้อย่างไร ทั้งเสาไม้นี้ แล้วหินที่ใช้ทำกำแพง ก้อนเบ้อเริ่มทั้งนั้น
เดินขึ้นไปเรื่อยๆในปราสาท เจออาวุธวางไว้เต็มผนัง ได้ความว่าเวลาโดนบุกแบบฉับพลันจะได้ไม่เสียเวลาเตรียมอาวุธ ไม่ต้องเอาออกมาจากคลัง ข้างในก็มีทริคอีกแล้วครับท่าน เยอะจริงๆจำไม่หมดอะ เช่น ผนังภายในที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงเป็นห้องลับ ทหารซ่อนตัวอยู่ได้ เอาไว้เซอร์ไพร์สศัตรู
ช่องที่ต่อมาจากปราสาทเล็กๆข้างๆ ซึ่งดูจากภายนอกจะไม่เห็นทางเดินเชื่อมนอกจากเดินลงมาข้างล่าง แต่ความจริงแล้วเขาได้สร้างทางเดินเชื่อมชั้นบนๆไว้ด้วย เอาไว้โจมตี และหลบหนีได้ด้วย แล้วพวกเราก็ได้เห็นช่องที่เอาไว้เทน้ำเดือดด้วย
ทางขึ้นชั้นหกที่สร้างไว้เล็กๆ หลบสายตาได้ ยังคงจำกันได้นะ ว่าเขาสร้างภายนอกไว้หลอกตาให้ดูเหมือนมีห้าชั้น พอเข้ามาข้างในขึ้นมาถึงชั้นห้าก็นึกว่าหมดแล้ว ไม่บุกต่อ แต่ความจริงมีทางขึ้นซ่อนอยู่อีก เป็นต้น
จนในที่สุดพวกเราก็มาถึงชั้นหกชั้นเจ็ดจนได้ คุณไกด์ก็ชี้ให้ดูเสาสี่ต้น แล้วบอกพวกเราว่า ยังจำได้ไหมที่ชั้นใต้ดินมีเสาหลักอยู่ มันมาสุดที่นี่แหละ เรารู้สึกว่าสมัยก่อนต้นไม้มันใหญ่จริงๆ บริเวณบนสุดนั้นตอนนี้กลายเป็นที่ตั้งศาลเจ้าเล็กๆ ตามระเบียบล่ะครับ ขอพรตามสไตล์ชินโตกันซะหน่อย ชั้นบนสุดจะเห็นทัศนียภาพเมืองฮิเมจิได้หมดเลย คุณไกด์ก็บอกว่าทางที่พวกเราเดินมาจากสถานีเจอาร์นะ เมื่อก่อนเป็นเมืองซามูไร ที่อยู่รอบๆปราสาทหลัก แต่ยังอยู่ในกำแพงปราสาท เมื่อก่อนบริเวณปราสาทไม่ได้มีแค่ที่เห็น แต่มีกำแพงล้อมอยู่ถึงสามชั้น ชั้นสุดท้ายไปสุดที่สถานีเจอาร์ฮิเมจิ ข้างในปราสาทก็มีการเก็บแผนที่สมัยก่อนแสดงให้ดูด้วย พร้อมทั้งเขียนบอกรายชื่อครอบครัวซามูไร แต่ละครอบครัวที่ครอบครองบ้านแต่ละบ้านในพื้นที่ปราสาท นอกจากนี้ยังมีเอกสารสัญญายืมเงินสมัยก่อนแสดงอยู่ด้วย คุณไกด์ก็เล่าว่า สมัยก่อนคนที่เขียนเป็นมีแต่ซามูไร ชาวบ้านลูกหนี้เขียน อ่านไม่ออกหรอก แถมเขียนหวัดอย่างนี้ ดังนั้นพวกซามูไรเลวๆก็หลอกชาวบ้านได้ด้วยวิธีนี้แหละ เขียนเงื่อนไขลงไปแต่ไม่ได้บอกชาวบ้าน เวลาจ่ายตังค์ ก็อ้างเงื่อนไขเหล่านั้น กรมการปกครองเมืองก็ต้องยึดเอาตามลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏอยู่ในหนังสือสัญญา เฮ้อ
ข้างบนเราจะเห็นสัญลักษณ์ของปราสาทด้วยนะ เป็นรูปปั้นปลา อยู่ตรงหลังคาบนๆ ไม่รู้ว่าใช่ปลาโลมาหรือเปล่า ไม่มั่นใจแต่ถ้าเป็นปราสาทนาโกย่าละก็มั่นใจได้เลยว่าเป็นปลาโลมา ตามความเชื่อเล่าว่า เนื่องจากปราสาทญี่ปุ่นสร้างจากไม้ทั้งหลังดังนั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ หรือศัตรูวางเพลิงละก็ ได้ไหม้หมดแน่ ดังนั้นเขาจึงสร้างรูปปั้นปลาไว้บนปราสาท เพราะเวลาไฟไหม้จะเกิดปาฏิหาริย์ปลาเหล่านั้นพ่นน้ำลงมาดับไฟได้ แต่คุณไกด์สรุปตอนท้ายให้ฟังว่า ปาฏิหาริย์เหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทำให้ปราสาทญี่ปุ่นจำนวนมากพังเพราะไฟไหม้ปราสาทนี้โชคดีที่ไม่เคยเกิดไฟไหม้ แม้แต่ไฟสงครามโลกก็รอดมาได้ จึงยังเหลือสมบูรณ์จนถึงทุกวันนี้
ขาลงพวกเราก็มุ่งลงมายังสวนภายในบริเวณปราสาท บริเวณนั้นก็เจอกับบ่อน้ำต้นแบบเรื่อง The ring คือ ก็ไม่ได้เป็นต้นแบบจริงๆหรอกนะ แต่บ่อน้ำเก่าๆของญี่ปุ่นมันให้อารมณ์น่ากลัวแบบในเรื่องนั่นแหละ คุณไกด์บอกว่ามันลึกมาก (ที่ต้องสร้างให้ลึกเพราะว่าเวลาศัตรูมาบุกมักจะล้อมอยู่นาน ให้อดข้าวอดน้ำ ดังนั้นภายในปราสาทต้องมีการขุดบ่อลึกมากๆเอาไว้ จะได้มีน้ำใช้ยามสงคราม) มองไม่เห็นใต้สุด ดูเก่าๆ และบรรยากาศทึมๆ ทำให้เป็นสัญลักษณ์ความน่ากลัวในหลายๆเรื่องหนังผีญี่ปุ่น แถมไอ้อันที่พวกเราไปดูนั้น เป็นอันที่มีเรื่องเล่าด้วยว่าสมัยก่อนสาวใช้ภายในปราสาทถูกฆ่าตายที่นี่เพราะความผิดที่ทำจานแตกไปหนึ่งใบ (ชีวิตคนมีค่าแค่จานหนึ่งใบ โฮ) หลังจากตายไป ยามค่ำคืน คนในปราสาทจะได้ยินเสียงคนนับจาน ทีละใบ ทีละใบ จากหนึ่งถึงเก้า แต่จะไม่ถึงสิบ หนึ่งชุดมีสิบใบ เพราะว่าแตกไปใบ สาวใช้คนนั้นก็จะนับใหม่อยู่อย่างนั้นแหละ หนึ่งถึงเก้า วนเวียนไปเรื่อยๆ ฟังแล้วบรื้อหนาว ที่ญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าเรื่องผีเยอะมาก ด้วยเฉพาะฤดูร้อน สาเหตุก็คือ ฤดูร้อนญี่ปุ่นร้อนมากสำหรับคนญี่ปุ่น ดังนั้นต้องเล่าเรื่องผีกันฟังเพราะว่าเรื่องผีทำให้ขนลุก รู้สึกหนาวขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นพวกเราไปหน้าใบไม้ร่วง หนาวอยู่แล้ว ฟังไปนี่ยิ่งหนาวใหญ่ การเล่าเรื่องผีในฤดูร้อนเป็นเรื่องจริงนะ เราไม่ได้โม้เอง ฟังมาจากอาจารย์ที่สอนวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกที
ผ่านบริเวณนั้นมา เจอที่ตั้งแสดงโชว์หลุมศพสมัยก่อน เป็นหินก้อนใหญ่ๆตัดเป็นสี่เหลี่ยมยาว เจาะตรงกลาง มีฝาโลงแสดงด้วย คุณไกด์ก็ชี้ให้พวกเราดูว่า แม้นว่าปราสาทนี้จะไม่เคยเสียหาย จนต้องสร้างใหม่ แต่ก็มีการบูรณะอยู่เรื่อยๆ ตอนเขาขุดรอบๆปราสาทพบโลงเหล่านั้น นอกจากเอามาจัดแสดงแล้วยังเอาไปสร้างกำแพงได้ด้วย แล้วคุณไกด์ก็ชี้ให้ดูหลักฐานตรงกำแพงปราสาทให้ดู คิดในใจ มันเข้าใจรีไซเคิลแฮะ
สุดท้ายตรงทางออกปราสาท คุณไกด์ก็ชี้ให้พวกเราสังเกตความใหญ่ของหินที่ใช้ทำกำแพงบริเวณนั้น พวกเราก็สังเกตเห็นจริงๆว่าบริเวณนั้นหินมันใหญ่จริงๆ ใหญ่มาก นึกว่าเป็นทริคอีกแล้ว คุณไกด์บอกว่า เวลามีแขกมาเยี่ยมเยือนปราสาท เวลาเจ้าของปราสาทมาส่งที่ประตู แขกจะได้เห็นหินใหญ่ๆพวกนี้ แสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของตระกูลเจ้าของปราสาท ว่าสามารถสร้างปราสาทจากเห็นใหญ่ๆเหล่านั้นได้ หินใหญ่ๆต้องใช้กำลังคนมากในการขนส่ง ในการยกขึ้นไปสร้างกำแพง เป็นการโชว์ออฟของเจ้าของปราสาทนั่นเอง จนถึงสุดท้ายนี้เกร็ดจากคุณไกด์นี้เยอะมากจริงๆ ต้องขอบคุณคุณไกด์คนนี้มากเลย ถ้าขาดเธอไปละก็ ทริปปราสารทฮิเมจิไม่มันอย่างนี้แน่ และคงหลงออกมาไม่ได้ ฮิๆ ขอบคุณคุณไกด์มากเลยครับ
ระหว่างทางกลับไปสถานีเจอาร์ฮิเมจิ พวกเราก็ต้องรีบทำเวลากันอีกแล้ว เดินมั่งวิ่งมั่ง (คาดไว้แล้วเช่นกัน ว่าขากลับต้องรีบ ดังนั้นเลยรีบมาแต่เช้าจะได้มีเวลาซึมซับบรรยากาศระหว่างทางด้วย) อาการเจ็บขาของเสาร์ก็ทำท่าไม่ดี ทริปหฤโหด เล่นเอาเสาร์เจ็บแผลเก่าเลย พวกเราก็เลยไม่รีบกันมากเท่าไร แต่ก็รีบนั่นแหละ ช้าไปก้าวเดียว ขึ้นลิฟท์ไปชานชลา พอประตูลิฟท์เปิด รถไฟออกต่อหน้าต่อตาเลย ฮะๆ คิดในใจช่างมันรอขบวนต่อไปก็ได้ว่ะ อีกสิบห้านาทีเอง ไม่ง้อขบวนนี้แล้ว (อย่างนี้เขาเรียกว่าองุ่นเปรี้ยว รึเปล่าเนี่ย)
สถานีต่อไปที่พวกเราจะไปคือ Tarumi ตอนนี้อยู่เมืองโกเบแล้ว แต่เสียดายไม่มีเวลาเดินดาวน์ทาวน์ เพราะวันนี้กะจะมาชอปปิ้งที่ Outlet เสร็จแล้วมีนัดรุ่นพี่เกียวโตพาไปซื้อของฝากที่ดาวน์ทาวน์ของเกียวโต เลยจำเป็นต้องตัดดาวน์ทาวน์โกเบออก (โกเบได้ชื่อว่ามีการประดับไฟในช่วงคริสมาสต์ ปีใหม่ได้สวยที่สุดในประเทศ แต่ไม่ได้ประดับเพื่อเทศกาลเฉลิมฉลองนะ แต่ประดับเพื่อผู้เสียชีวิตในสงคราม หรือแผ่นดินไหวใหญ่โกเบ ไม่มั่นใจฟังเพื่อนเล่ามาอีกที แต่ช่วงที่คณะจากไทยมาเที่ยวยังไม่เริ่มประดับ ไม่อย่างนั้นไปแน่นอน) แต่ว่าที่เอาท์เล็ตในวันนี้ถือว่าไม่โชคดีเอาเสียเลย เพราะว่าไม่มีของเข้าตาคณะจากไทยเลย ก่อนหน้านี้ไปมาเองอีกที่หนึ่ง อยู่ใกล้สนามบินคันไซ เห็นแล้วเกิดกิเลศเพราะมันสวย แล้วก็ลดราคากระหน่ำมาก เช่น โค้ทผู้หญิงตัวเกือบสองหมื่นเยนเหลือสามพันกว่าเยน แต่วันนี้ไม่เจอเจ๋งๆ ทำให้ทุกคนเซฟตังค์ได้ ฮะๆ
แต่ก็ได้กินแมคโดนัลด์ญี่ปุ่นที่นี่แหละ เพราะต้องการความรวดเร็ว กะไม่พาไปกินแมคแล้วนะเนี่ย อุตส่าห์มาญี่ปุ่น แต่ก็เลี่ยงไม่ได้คราวนี้และ แต่เพื่อนๆบอกว่าอร่อยดี ก็โอเคนะ อ้อ ตอนสาวๆไปเดินชอปเราก็เมื่อยเลยหาที่นั่ง สายตาก็เหลือบไปเห็นการแสดงโชว์ ประมาณว่าเอนเตอเทนท์แขกที่มาเที่ยวเอาท์เล็ต ปรากฏว่า คู่ดูโอที่แสดงที่อควาเรียม โอซาก้า วันนี้มันเดินสายมาแสดงที่เอาท์เล็ตโกเบด้วย สงสัยชะตาต้องกัน เขาก็เล่นการแสดงเดิมนะมุขเดิม แต่เราก็ไปดู ว่างนิไม่รู้ทำไร เห็นแล้วก็คิดได้ว่า เขาทำเพราะใจรักมากเลยนะเนี่ย เพราะต้องเดินสายบ่อย เล่นก็ต้องเล่นกลางแจ้ง อุณหภูมิตอนนั้นก็สิบกว่าองศา แต่ชุดนี่เหมือนเดิมเลยนะ คงความฮาของชุดไว้ ไม่สนความหนาว แต่พอเล่นเสร็จก็ใส่โค้ท นั่งรอตรงนั้นรอเล่นรอบต่อไป สรุปเห็นแล้วทึ่งในความอดทน มากกว่าความฮา เพราะดูมาแล้วรอบหนึ่งที่อควาเรียม
นอกจากนี้บริเวณนั้นยังมีจุดน่าสนใจอีกจุดคือ สะพานอะวาจิ เชื่อมระหว่างคันไซกับเกาะชิโกกุ หนึ่งในสี่เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น ได้แก่ ฮอกไกโด ฮอนชู (โตเกียวกับคันไซอยู่นี่แหละ) ชิโกกุ คิวชู สะพานนี้สร้างหลังแผ่นดินไหวใหญ่โกเบครั้งล่าสุด เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลก (จำไม่ได้แล้ว ว่าเป็นสะพานยาวที่สุดในประเภทอะไร) ออกแบบมาให้รองรับแผ่นดินไหวขนาดคราวที่แล้ว แต่ก็ไม่มีใครอยากลองนะว่ามันทนได้อย่างที่ออกแบบมาหรือเปล่า ถึงแม้วันนั้นทัศนวิสัยจะไม่ดี แต่เห็นความยาว ความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว สวยเข้ากับอ่าวแถวนั้นเลย เสียดายกล้องพวกเราไม่สามารถเก็บความยาวของมันได้ เลยต้องถ่ายตัดออกมาเป็นตอนๆ
ขากลับพวกเราได้ตื่นเต้นอีกแล้วเพราะว่าชัตเติลบัสที่ไปสถานีรถไฟเจอาร์มันออกทุกครึ่งชั่วโมง ก็คำนวณเวลาเผื่อไว้แล้วนะ แต่คนนี้แน่นรถมากเลย พวกเราเป็นห้าคนสุดท้ายที่ได้ขึ้นไปยืน เราเนี่ยยืนแบบประมาณว่าเขาปิดประตูได้พอดี เด็กๆกลุ่มข้างหลังมากลุ่มเบ้อเร่อเลย เลยอดขึ้นต้องเดิน ซึ่งแม้จะไม่ไกลมาก แต่ขึ้นบัสก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เดินไปนะน้อง พวกพี่ไปก่อน เมื่อยแล้วเดินมาหลายวัน
จากสถานีโกเบพวกเราก็ขึ้นชินไคโซคุกลับเกียวโตเช่นเดิม ไม่ได้นั่งชินคันเซนเพราะจังหวะไม่ได้ แถมสถานีชินโกเบของชินคันเซนอยู่ไกลอีก ต้องเปลี่ยนรถสองรอบกว่าจะถึงเกียวโต แต่ไม่เป็นไรนั่งชินมากันสามรอบแล้วคุ้มแล้วแหละ สำหรับเรานั่งสี่รอบ รวมรอบที่นั่งจากเกียวโตไปหาคณะจากไทยที่โตเกียวด้วย
ถึงสถานีเกียวโต ตอนเดินเล่นในสถานีก็เห็นชานชลาที่ศูนย์ด้วย เลยให้วิทถ่ายเก็บไว้ แปลกดีไม่รู้ว่า มีตั้งแต่ตอนสร้างเลยหรือเปล่า หรือเพิ่งมาต่อเติมทีหลัง ชานชลาศูนย์เป็นรถไฟด่วนพิเศษที่จะไปโทยาม่า ยังจำกันได้ไหมเอ่ย โทยาม่าเส้นทางหิมะไง ถ้าจะไปที่นั่นจากเกียวโต ไม่มีชินคันเซนต้องนั่งเจอาร์ด่วนพิเศษไปแทน ตอนเห็นในเว็บ เส้นทางนี้สวยมากเลยนะ เพราะเลาะเขา ผ่าภูเขาสูง ไปเรื่อยๆ เห็นรูปแล้วอยากนั่งสายนี้เหมือนกัน แต่พอดีจังหวะอากาศที่ทะเทะยะม่ามันดีตอนที่อยู่โตเกียว ทำให้ได้นั่งจากโตเกียวแทน ตอนยืนถ่ายรูปชานชลาพอดีรถไฟออกด้วย หัวรถจักรสวยดีแต่ถ่ายไม่ทัน ที่นี่ถ้าคนชอบรถไฟมาเที่ยวคงสนุกดี เพราะว่ามีรถหลายแบบมากๆ ถ่ายรถไฟก็ไม่เบื่อแล้ว
ต่อจากสถานีเกียวโต พวกเรามีนัดที่ดาวน์ทาวน์ เรียกว่าย่านซังโจ กับชิโจ หรือ The Third Avenue หรือ The Forth Avenue ซึ่งต้องต่อใต้ดิน ไปถึงที่แรกเลยครับที่พวกเราแวะคือ ร้านร้อยเยน เพื่อหาของฝากกัน แต่ขาดผงโรยข้าว ซึ่งปกติจะเจอง่ายมากในร้านร้อยเยน เราก็เลยพามาร้านที่มันเป็นทางผ่านในเส้นทางของพวกเรา มารู้ที่หลังว่าร้านร้อยเยนมีแฟรนไชส์หลายเจ้ามาก เจ้าที่เราผ่านประจำมันไม่มีผงโรยข้าวขายอะ ไม่เคยกินก็เลยไม่เคยสังเกต รู้แต่ว่ามันมีร้านร้อยเยนอยู่ตรงสถานีซังโจเนี่ยและ (เรื่องตามล่าของฝากนี่ สามารถตัดออกมาเขียนเป็นอีก Episode หนึ่งได้เลยนะเนี่ย ฮะๆ)
ออกมาจากใต้ดิน ผ่านรูปปั้นซามูไรคนหนึ่งที่จงรักภักดีองค์จักรพรรดิมาก แม้ตอนที่องค์จักรพรรดิเมจิ ย้ายบ้านไปโตเกียวเพื่อยึดครองอำนาจกลับจากโชกุนแล้ว โดยบอกว่าเป็นการไปชั่วคราว เหตุผลที่ต้องบอกอย่างนั้นเพราะว่า ขืนบอกความจริงว่าย้ายเมืองหลวง คนในเกียวโตจะมีปฏิกิริยาต่อต้านแน่นอน เหมือนกับถูกหักหลังอย่างนั่นและ แต่ซามูไรคนนี้ก็ยังยึดมั่นที่จะภักดีต่อ และอยู่รอคอยการกลับมาของจักรพรรดิจนตายอยู่เกียวโตนี่แหละ รูปปั้นนี้สร้างให้นั่งคำนับไปทางพระราชวังเกียวโต เรื่องนี้ฟังมาจากอาจารย์สอนวัฒนธรรมครับ
จุดต่อมาอยู่ที่สะพานซังโจ ซึ่งสมัยก่อนน่าจะเป็นสะพานสำคัญสำหรับการค้า เพราะมีรูปปั้นบุคคลสำคัญสองคน (ไม่รู้ว่าใคร เพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นที่สลักอยู่ตรงนั้นไม่ออก แถมยังไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าของสองคนนี้จากอาจารย์เลย) รู้สึกเป็นพ่อค้านะ ที่เห็นเป็นต้นไม้เหลือแต่กิ่งตรงรูปปั้นนะ เป็นต้นซากุระนะ ฤดูใบไม้ผลิมันจะออกดอกซากุระ ระย้าห้อยลงมาเป็นแบล็คกราวน์หลังรูปปั้น สวยอีกแล้วครับท่าน
หลังจากเตร็ดเตร่ฆ่าเวลา เพราะมาถึงซังโจก่อนเวลานัดกับเพื่อนๆเกียวโต ก็ได้เวลาไปร้านขายของฝากอยู่ในย่าน Shinkyogoku ถนนสายคนเดินที่เชื่อมระหว่างซังโจไปถึงชิโจ ถึงร้านคณะจากไทยก็ได้เวลาชอปของฝากแบบญี่ปุ่นๆซะที หมดไปคนละหลายพันเยนเหมือนกัน คุณลุงคุณป้าเจ้าของร้านทั้งลดทั้งแถม เพราะว่าพวกเราเป็นคนไทย แถมมากับรุ่นพี่ที่สนิทกับเจ้าของร้านเองเลยสบายไปเลย อ้อ ได้เข็มกลัดสัญลักษณ์เกียวโตครบสิบแบบก็ที่นี่แหละ ปกติเข็มกลัดนี้จะอยู่ในตู้หมุนไข่ เข็มกลัดจะใส่อยู่ในกล่องใสๆรูปไข่ เวลาจะซื้อต้องหมุนเสี่ยงโชค ไม่รู้ลูกไหนจะหล่นลงมา ดังนั้นเปลืองตังค์กว่าจะครบทุกแบบ แต่ด้วยความสนิทกับคนไทย แกเอามาให้เลือกเลย ไม่ต้องเสี่ยงโชคหมุน เลยทำให้ได้ครบหมดสิบแบบ (วันก่อนไปเดินเล่นกับพวกรุ่นพี่ ผ่านร้านแก พอดีแกมีส้มเพียบ แกเลยแบ่งมาให้ซะหลายกิโล ฮิๆ อร่อย)
ชอปนานเริ่มหิวแล้วครับ แต่กะว่าจะเดินหาของฝากกันต่อดังนั้นจึงหาขนมกินง่ายๆกันก่อน ผ่านร้านทะโกะยากิพอดี ทันทีครับ หนึ่งแพ็คแปดลูก กินกันห้าคน (เอ หรือว่ากินกันสองแพ็คหว่าจำไม่ได้แล้ว) ร้านนี้เป็นร้านชื่อดังประจำเกียวโต ทำรสชาติเกียวโต ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่างจากเมืองอื่นอย่าง รู้แต่อร่อย (วิทชอบร้านนี้ที่สุด) ขนาดคนทำหน้าตายังคล้ายปลาหมึกเลย โปรดสังเกตเปรียบเทียบหัวที่เลี่ยน โล่ง หน้าทู่ๆคล้ายปลาหมึก แถมเขาเอาจุดนี้มาโปรโมทร้านด้วยนะ
หลังจากนี้เป็นทริปล่าผงโรยข้าว เข้าไปหลายร้านเหมือนกันแต่ไม่เจอเลย เล่นเอาเพื่อนๆเหนื่อยไปเลย โทษทีนะคร้าบ ปกติเดินเล่นๆแถวนั้นไม่ได้สังเกตว่าร้านไหนมีขาย เลยต้องพาเดินซะเมื่อยเลย คิดดูเมื่อยจนไม่อยากเดินไปร้านอร่อยที่เราจะพาไปกินข้าวเย็น สุดท้ายต้องเดินกลับสถานีแล้วหาอะไรง่ายๆกินในร้านข้าวหน้าเนื้อแฟรนไชส์ หนึ่งในสามร้านดัง วันนี้ได้กินร้าน Matsuya สรุปมาญี่ปุ่นมาล่าร้านข้าวด้วย เสียดายขาดร้าน Sugiya เลยอดชิมครบสามร้านเลย
วันนี้เหนื่อยกันมากเช่นเดิม ออกแต่เช้าเพื่อให้ถึงฮิเมจิก่อนเวลาเปิด แวะเอาท์เลตโกเบ กลับมาล่าของฝากที่ดาวน์ทาวน์ซังโจ แถมของฝากยังได้ไม่ครบอีกขาดผงโรยข้าว กับป็อคกี้ กว่าจะถึงห้องก็ดึกมาก วันนี้พอก่อนค่อยลุยต่อพรุ่งนี้ นอนดีกว่า
ยัง ยังครับ วันนี้ยังไม่หมด (ความจริงเหตุการณ์เกิดตอนตีสองกว่าๆ เข้าวันใหม่แล้ว แต่มันต่อเนื่องจากเรื่องวันนี้ เลยเล่าในวันนี้เลยแล้วกัน) ลืมเล่าไปว่าพวกเรานอนห้องเดียวกัน เพราะถึงแม้เราจะอยู่ห้องครอบครัว มีห้องครัวห้องนั่งเล่นแยก แต่ก็มีห้องนอนห้องเดียวอะ แถมนอนด้วยกัน เปิดฮีทเตอร์อันเดียวประหยัดดี สาวๆก็นอนบนเตียงซึ่งเป็นเตียงดับเบิล ก็นอนพอนะ แม้นว่าจะมีเสาร์กับนุ้ยด้วยก็เฮอะ (ฮิๆ) เรากับวิทเอาฟุตองมาปูนอน ด้วยความเหนื่อยล้า ทุกคนหลับกันสบายเลยครับ แต่ แต่ พอล่วงเข้าวันใหม่ประมาณตีสอง ไอ้วิท ครับท่าน ไอ้วิท มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆค่อยๆร้อง เสียงค่อยๆได้ขึ้นเรื่อยๆ จากแรกๆแค่แทรกเข้าไปในฝันของเรา จนมันดังมากกกกกกกก เสียงประมาณร้องเสียงหลง ทันทีครับเราตื่นเห็นมันนอนอยู่ใกล้ๆก็นึกว่ามันเป็นไรวะ แถมตอนนั้นมันยังร้องเสียงหลงดังขึ้นอีก ท่าไม่ดีแล้วครับ หรือว่าไอ้วิทโดนของ อยู่ห่างมันก่อนดีกว่า เสียว ตัวเองโดนมั้ง แค่นั้นแหละ ด้วยความเร็วแค่สองก้าวไปยืนข้างๆเตียงสาวๆทันที ตอนนั้นสาวๆก็ตื่นแล้วเพราะเสียงไอ้วิทดังมาก พวกเราก็ตกใจ งง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้วิท ก็ค่อยๆเรียกมัน วิทก็บอกว่ามันเห็นผี เวร มึงฝันแล้ว ไม่ใช่ผีหรอก กูอยู่ห้องนั้นมาแปดเดือนไม่มีอะไร สรุปตอนหลังได้ว่ามันเป็นคนกลัวผีแถมวันนี้ไปฟังเรื่องผีจากบ่อน้ำที่ฮิเมจิมาอีก เลยเก็บมาฝัน เห็นเป็นแบบได้อารมณ์เหมือนในเรื่องเดอะริง คือ ค่อยๆเข้ามาหาไอ้วิทนะ เลยทำให้มันค่อยๆร้องดังขึ้นเรื่อยๆไง หลังจากเหตุการณ์วันนั้นครับ นอนโดยปิดผ้าม่านตลอด (เราชอบนอนเปิดผ้าม่าน เพราะมันเห็นวิวของเมืองอุจิยามค่ำคืน เสียงไฟระยิบระยับสวยดี) สาวๆก็ไม่กล้าทำอะไรดึกๆคนเดียวนอกห้องนอน ฮ่าๆ งานนี้เพราะไอ้วิทมันคนเดียวเลยนะเนี่ย ส่วนเราก็ไม่มีปัญหาเพราะหลังจากเพื่อนๆกลับไทย ไม่กี่วันก็ต้องย้ายหอพอดี ฮิๆ ไอ้วิท มึงนะมึง เลยได้มีเรื่องมาเผาเลย

Saturday, December 23, 2006

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (2)


Day 6 The real first day in Kyoto (Nov. 24)
แม้ว่าพวกเราจะหลีกเลี่ยงผู้คนอันมหาศาลที่มาเที่ยวเกียวโตในวันหยุด (เมื่อวานเป็นวันหยุดประจำปี) แล้วก็ตาม แต่ตอนที่ไปเปลี่ยนเจอาร์ที่สถานีเกียวโต พวกเราก็ได้เจอกันคลื่นมหาชนที่จะนั่งเจอาร์ไปอาราชิยะม่า (Storm Mountain) หนึ่งในจุดที่โมมิจิสวยที่สุดในประเทศ และคาดได้เลยว่าผู้คนที่อาราชิยะม่าต้องเยอะแน่ๆ เพราะการจะไปภูเขานั้นได้มีรถไฟสามสาย และหนึ่งรถบัส นี้แค่ผู้คนในสายเจอาร์ยังขนาดนี้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแผนไปเริ่มต้นทริปจากบนสุดของย่านก่อน (บริเวณนี้มีจุดที่น่าสนใจมากมาย จึงเลือกบางจุดเท่านั้น ที่น่าสนใจ)
พวกเราเริ่มต้นวันด้วยการนั่งโรแมนติคเทรน ซึ่งจะนั่งจากอาราชิยะม่าก็ได้ แต่ไปนั่งจากสุดสายสถานี Kameoka ย้อนมาน่าจะดีกว่า เพราะคนน่าจะน้อยกว่าขึ้นต้นสาย (จากการคำนวณจากผู้คนที่ลงเจอาร์สถานีอะระชิยะม่า) ดังนั้นจึงนั่งเลยไปอีกหน่อย ก็ถึงอีกฝั่งของโรแมนติคเทรน แต่แม้กระทั่งพวกเรามาฝั่งนี้แล้วก็ตาม คนก็ยังเยอะอยู่ดีทำให้ไม่สามารถจองรอบสิบเอ็ดโมงได้ ต้องขึ้นรอบเที่ยงแทน (รถไฟมีแค่ชั่วโมงละขบวน) แต่ก็ทำให้พวกเราได้ออกนอกโปรแกรมมั้งคือ สำรวจบริเวณรอบๆสถานี Kameoka ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ก็ไปพบศาลเจ้าชินโต สวยดี โมมิจิก็แดงสวยด้วย แต่ไม่สามารถเดินไปได้ เพราะมีแม่น้ำ Hozu กั้นอยู่ แต่ก็ไม่พ้นความสามารถในการอยากถ่ายรูปของพวกเราไปได้ พวกเราก็ยืนอยู่ฝั่งแม่น้ำฝั่งนี้แล้วก็ถ่ายให้ศาลเจ้าเป็นแบล็คกราวน์ นอกจากนี้จากตำแหน่งนั้นก็เห็นทัวร์ล่องเรือแม่น้ำโฮซุด้วย ความจริงคอร์สปรกติคนเขาจะนั่งโรแมนติคเทรนขึ้นมาแล้วก็ล่องเรือกลับถึงจะครบสูตร แต่ว่าเรือมันแพงตั้งสองพันเยน (เท่ากับอควาเรียมเลยนะเนี่ย) พวกเราก็เลยนั่งเจอาร์ขึ้นมา นั่งโรแมนติคเทรนลงไป แค่หกร้อยเยนเอง คุ้ม (ฮะๆ) อ้อลืมบอกไปสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของสถานี Kameoka ก็คือ ตัวทะนุคิ คงรู้จักกันบ้างนะ สัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น ที่สามารถแปลงกายเป็นคนได้ ชอบหลอกคน เช่น แกล้งปลอมตัวเป็นสาวชาวบ้าน แล้วเชิญให้คนหลงทางเข้าไปพักในบ้าน เลี้ยงข้าวเย็น ให้ที่พัก แต่พอตอนเช้าตื่นขึ้นมากลับปรากฏว่า เมื่อคืนกินใบไม้ นอนห่มใบไม้อยู่ ประมาณเนี้ยแหละ พวกเราแน่นอนว่าต้องถ่ายรูปกับรูปปั้นฝูงทะนะคิแน่นอน ไม่งั้นเสียชื่อมือกล้องจากไทยหมด
ได้เวลาพวกเราก็ได้ขึ้นโรแมนติคเทรนเสียที เส้นทางเลียบแม่น้ำโฮซุ พวกเราอยู่บนเขา มองลงไปที่แม่น้ำที่แทรกผ่านระหว่างเขา (ส่วนใหญ่แม่น้ำในญี่ปุ่นจะเป็นลักษณะไหลผ่านซอกเขา) แม้ว่าจะไม่ค่อยมีน้ำ เพราะนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ฝนน้อย น้ำก็น้อย แต่ก็ได้อารมณ์ดี นอกจากนี้ก็มีโมมิจิเต็มสองข้างทาง เสียดายถ่ายรูปลำบาก เพราะรถไฟมันค่อนข้างเร็ว (เอ หรือว่าพวกเราไม่ถนัดถ่ายภาพเคลื่อนไหวหว่า) ก็เลยไม่ค่อยมีรูปมาฝาก แต่ว่ามันสวยจริงๆนะ (บริเวณเดียวกันจะเห็นต้นซากุระโกร๋นไม่มีใบอยู่เต็มไปหมด ทำให้มั่นใจได้ว่า ฤดูใบไม้ผลิที่นี่ก็จะสวยอีกเหมือนกัน) ตอนอยู่บนรถ เขาก็เข้าใจเอนเตอร์เทนต์ผู้โดยสารนะ มีผู้ชายใส่หน้าการเทนงู (เทพในตำนานของญี่ปุ่น จมูกยาว ถือพัดซึ่งสามารถพัดลมพายุได้) มาเล่นกับผู้โดยสาร มาถ่ายรูปด้วย แล้วก็พูดอะไรฮาๆตลอด (ฟังไม่ออกหรอกนะ แต่สังเกตจากคนญี่ปุ่นที่ฮากับมุขของเทนงู) พวกเราก็ได้ถ่ายคู่กับเขาด้วยนะ คือพวกเราถ่ายกันเอง แต่เขาโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เข้ากลางกล้องพวกเราเลย เออ ดีแฮะ หกร้อยเยน มีเซอร์วิสอย่างนี้ด้วย
ขากลับเราก็ไม่ได้ลงสถานีปลายทาง Saga Torokko แต่ลงก่อนป้ายหนึ่ง คือสถานี Arashiyama Torokko (โทรอคโคะ คือชื่อบริษัท ต้องเขียนแยกเพราะว่าบริเวณนั้นมีสถานีเจอาร์ด้วย) เพราะกะจะเดินเที่ยวบริเวณนั้นไล่ลงไปที่เจอาร์ Saga-Arashiyama จะได้ไม่ต้องเดินย้อนไปย้อนมา พอลงที่สถานีบรรยากาศสดใสซึ่งหาได้ยากเหมือนกันในทริปนี้ ช่วยตกแต่งบริเวณนั้นให้ดูสวยขึ้นไปอีก (อะระชิยามะ สวยอยู่แล้ว แต่มีแดดก็สวยขึ้นไปอีก) พวกเราก็มาถึงทางแยกว่าจะเลือกคอร์สไกล หรือคอร์สใกล้ แน่นอนครับ เดินมาทั้งทริปแล้ว ระยะทางแค่นี้....... หวั่นใจครับ เลือกทางสั้นดีกว่า พวกเราก็เลยเริ่มเดินจากสถานีไปตามเส้นทางป่าไผ่อันเลืองชื่อของอะระชิยาม่า สังเกตคนเดินขึ้นมาเยอะมาก แต่ฝั่งที่เราเดินลงไปน้อยกว่ากันมากๆ ทำให้คิดว่าดีแล้วที่เลือกเส้นทางต่างจากชาวบ้าน เดินมาเรื่อยผ่านมาทางด้านหลังของวัด Tenryuji ที่ขึ้นชื่อว่าสวนสวยแห่งหนึ่ง แต่ค่าเข้าห้าร้อยเยน แถมดูจากภายนอกก็รู้ว่าสวนมันใหญ่ ก็จะเดินหมดหมดแรงก่อน พวกเราก็อาศัยมุมสวยๆที่เห็นได้จากภายนอกถ่ายรูปกัน นี้ขนาดแค่บริเวณขอบๆของสวนนะ ยังออกมาสวยขนาดนี้เลย ถ้าถ่ายข้างไหนจะสวยขนาดไหนเนี้ย
ผ่านบริเวณด้านหลังและข้างๆของวัดเทนริวจิมาแล้วก็เจอศาลเจ้าชินโตเล็กๆ (ลักษณะเด่นของอะระชิยะม่าอีกอย่างหนึ่งคือ ศาลเจ้า และวัดเล็กๆจำนวนมาก เรียงรายไปตามทาง แทรกตัวอยู่ในภูเขาทั่วบริเวณ แต่ละที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง พยายามจะทำความเข้าใจนะ แต่ก็ไปได้ไม่กี่ที่เอง) แต่คนเข้าไปขอพรกันมากเลย ก็พยายามอ่านอยู่เหมือนกันว่ามันมีความสำคัญอย่างไร รู้แต่ว่ามันเป็นที่ฝึกตนของเจ้าชายสมัยก่อน เจ้าชายองค์นั้นคงดังมั้ง เลยทำให้ศาลเจ้านี้สำคัญไปด้วย พวกเราก็อาศัยศาลเจ้านี้เป็นที่ฝึกในการขอพรตามแบบชินโตด้วย วิธีการก็คือ โยนเหรียญห้าเยนลงในกล่องก่อน เขย่าสายที่ต่อไปยังกระดิ่ง (ประมาณว่าปลุกเทพเจ้าให้ได้ยินเสียงขอพรของเรามั้ง) ตบมือสองครั้ง แล้วพนมมือขอพรได้เลย ก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนขอพรว่าอะไร แต่ดูดีมากเลย เนียนไปกับคนญี่ปุ่น
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินมาทางถนนใหญ่เส้นหลักของการมาเที่ยวอะระชิยาม่า บรรยากาศเปลี่ยนไปทันทีเลย กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว คึกคักๆ ร้านค้าสวยๆเต็มไปหมด แล้วก็พวกเรายังเจอกับทางเข้าด้านหน้าของวัดเทนริวจิอีก สรุปเส้นทางที่เดินมาเป็นเส้นทางเลาะวัดนั้นมานี่เอง วัดใหญ่จริงๆ เดินตั้งนานกว่าจะรอบ ดีแล้วไม่เสียตังค์เข้าไปในวัด เพราะว่าคงหมดแรงตายในวัดก่อน
เป้าหมายต่อไปของพวกเราก็คือ จุดแลนด์มาร์ค ของย่านนี้ ก็คือ สะพานข้ามจันทร์ (Togetsukyo) นั่นเอง เป็นสะพานที่เวลาเขามาถ่ายทำสารคดี ถ่ายรูปลงหนังสือต้องถ่ายให้ติดสะพานนี้ แล้วมี อะระชิยาม่า เป็นแบ็คกราวน์ พวกเราก็เอามั้ง ถ่ายไปก็สังเกตเห็นรถติด ยาววววววววมาก ดีแล้วที่พวกเราเลือกเดินทางด้วยรถไฟ แน่นหน่อยแต่ไม่ติด ฮิๆ
เนื่องจากพวกเราใช้เวลาอยู่ที่อะระชิยาม่านานมาก จนไม่เหลือเวลาไปเที่ยวที่อื่นอีกแล้ว ประกอบกับหิวมาก ตอนเช้ากินแค่ขนมปัง ตอนเที่ยงยังไม่ได้กิน ตอนนั้นก็บ่ายสอง บ่ายสามแล้ว เราก็เลยพาไปกินร้านดังประจำเกียวโตซะเลย เป็นร้านข้าวหน้าหมูทอด ชื่อคัทซึคุระ เป็นแฟรนไชส์มีหลายสาขาอยู่เหมือนกันในเกียวโต ร้านที่เลือกอยู่อิเซตันสถานีเกียวโต เพราะเราต้องมาต่อรถไฟกลับโอบาคุที่นี่อยู่แล้ว ตอนเข้าไปนี่เนื่องจากเป็นเวลาที่ชาวบ้านเขาไม่กินกัน (คนญี่ปุ่นค่อนข้างกินข้าวกันเป็นเวลา) จะบ่ายก็ไม่ใช่ จะเย็นก็ยังไม่เย็น ทำให้พวกเราครองร้านไป เพราะมีพวกเรากลุ่มเดียว แน่นอนครับพวกเราสั่งข้าวหน้าหมูทอดของดังประจำร้านทุกคน (ในร้านยังมีข้าวหน้าอย่างอื่นให้เลือกอีก เช่น หน้าไก่ทอด หน้าคอรอคเกะ) แบบธรรมดาเป็นเนื้อนำเข้า แบบหรูหน่อยเป็นเนื้อในประเทศญี่ปุ่น พนักงานน่าจะเป็นนักศึกษามหาลัยมาทำพาร์ตไทม์ พูดอังกฤษได้นิดหน่อย เราเลยสบายไปเลย ไม่ต้องส่งภาษาญี่ปุ่นมั่วๆของเรา ซึ่งบางครั้งก็สื่อสารกันผิด (แฮ่ๆ) จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนสั่งเนื้อญี่ปุ่น รู้แต่ว่าเนื้อมันนุ่ม ดูดีกว่ากันเยอะ สงสัยคราวนี้ต้องลองสั่งมากินเองบ้างแล้ว แต่ก็เริ่มชักเบื่อเหมือนกัน กินหลายครั้งแล้ว เพราะว่าเวลามีแขกต่างบ้านต่างเมืองมา ก็ต้องพามาร้านนี้เพราะมันดัง อร่อย แล้วราคาก็ไม่แพง พันเยนต้นๆเอง (เวลาคำนวณว่าเวลาอะไรแพงไม่แพง ให้เอาสิบหาร มันจะได้อารมณ์แบบประมาณค่าครองชีพญี่ปุ่น เทียบกับเงินเดือนซึ่งแค่คนที่จบป.ตรีมาใหม่ๆ เงินเดือนยังอยู่ที่ราวๆสองแสนเยนเลย) แถมเพิ่มข้าว เพิ่มซุป เพิ่มผักฟรีอีกต่างหาก (ตรงนี้แหละที่เราชอบ) ค่อยๆทานซึบซับบรรยากาศร้าน ตกแต่งเป็นแบบญี่ปุ่นประยุกต์ คือ ได้อารมณ์แบบญี่ปุ่น แต่ไม่ถึงขนาดต้องนั่งบนเสื่อทะทะมิกินข้าว กินเสร็จก็มืดแล้ว (ห้าโมงเย็นก็มืดแล้ว) จะไปเที่ยวไหนต่อก็ไม่ได้แล้ว เลยตัดสินใจเที่ยวตึกสถานีเกียวโตนี่แหละ ความจริงแล้ว เราชอบตึกนี้มาก เป็นการออกแบบที่สวยผนวกกับประโยชน์ใช้สอยได้ดี เช่น ไดไคดัง หรือแปลเป็นไทยคือ บันไดใหญ่ (ได แปลว่าใหญ่ ไคดัง แปลว่าบันได) คงเคยเห็นลักษณะที่จัดคอนเสริต์กลางแจ้งในสวนสาธารณะของญี่ปุ่นกันใช่ไหมครับ มันจะเป็นลักษณะเวทีอยู่ข้างล่าง แล้วสร้างที่นั่งคนดูเหมือนบันไดไล่ขึ้นไปข้างบน ซึ่งที่นี่เขาทำมันตรงกลางตึก คือตึกล้อมรอบ เวทีอยู่ข้างล่าง บันไดที่เอาไว้ใช้ขึ้นตึก ทำกว้างมาก กลายเป็นที่นั่งคนดูไปในตัวได้เลย (คนที่ขี้เกียจเดินขึ้นบันได ก็สามารถขึ้นบันไดเลื่อนข้างๆได้นะ เขาออกแบบมาคำนึงประโยชน์ใช้สอยไว้แล้ว) ตอนแรกกะว่ามีเวลาจะพาชาวคณะจากไทยเที่ยวอยู่แล้ว ประจวบเหมาะจังหวะได้ในวันนี้ ไม่ต้องไปไหนไกลแล้วเที่ยวมันต้องตึกสถานีเกียวโตมันนี่แหละ
แรกสุดก็ขึ้นไปดาดฟ้าก่อน เสียดายพระอาทิตย์ตกแล้ว อดเห็นบรรยากาศยามเย็น แต่ก็ได้เห็นเมืองในบรรยากาศยามค่ำคืนแทน เมื่อมองไปที่สถานีจะเห็นเจอาร์ทั้งธรรมดา และชินคันเซนวิ่งเข้าออก สถานีตอนกลางคืน เปิดไฟสว่างๆ ดูสวยไปอีกแบบ ลืมบอกไปว่าบริเวณสถานีมีแลนด์มาร์คของเมืองอีกอย่างอยู่ด้วย คือ เกียวโตทาวเวอร์ คงรู้จักโตเกียวทาวเวอร์ใช่ไหมครับ ความจริงแล้วโตเกียวทาวเวอร์ สร้างมาเพื่อส่งสันญาณโทรทัศน์ช่อง NHK (ญี่ปุ่นกำลังจะหยุดแพร่ภาพระบบอนาล็อค เปลี่ยนเป็นดิจิตอลในปีสองพันสิบเอ็ด ดังนั้นจะมีการสร้างโตเกียวทาวเวอร์กันไหมเพื่อรองรับการแพร่ภาพดิจิตอล ดังนั้นเราจะได้เห็นโตเกียวทาวเวอร์โฉมใหม่ในปีสองพันสิบเอ็ดนี่เอง) และเกียวโตทาวเวอร์ก็สร้างมาเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน (แค่สร้างมาส่งสันญาณภาพ ยังสร้างซะยิ่งใหญ่อย่างนี้เลย) โดยสร้างเป็นรูปเทียนญี่ปุ่นสมัยก่อน ถึงแม้ไม่ใหญ่เท่าโตเกียวทาวเวอร์ แต่ก็ดูกลมกลืนกับเมืองเก่าอย่างเกียวโตได้ดีเหมือนกัน พวกเราก็ชักภาพไปหลายเหมือนกัน
ต่อจากดาดฟ้าพวกเราก็เดินลงมาตามไดไคดัง บนเวทีวันนี้ไม่มีการแสดงอะไร แต่มีประดับไฟ และต้นคริสมาสต์ยักษ์แทน พร้อมกับการแสดงไฟประดับที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามเพลงที่เล่น เพลงมีอยู่หกเพลงด้วยกัน (เดือนพฤศจิก็เริ่มบรรยากาศคริสมาสกันแล้ว คนญี่ปุ่นนี้ชอบเทศกาลนี้กันมากจริงๆ) บรรยากาศดูด้วยตาเปล่านี้สวยมากเลย แต่ถ้าถ่ายรูปมันจะออกมามืดๆเพราะแสงมันน้อย มีแสงแค่จากต้นคริสต์มาส และบริเวณรอบๆ แต่ก็มีเรื่องฮาๆนะ เพราะพวกเราพยายามถ่ายกันให้สวยให้ได้ แต่มันก็แสงน้อยประจำ มีแต่ไอ้วิทนี่แหละ โชคดีอยู่คนเดียวเข้ากล้องตอนเพลงอะไรก็ไม่รู้รู้แต่จังหวะนั้นไฟประดับมันสว่างมาก ถ่ายออกมาวิทเลยดูสว่างไปเลย พอพยายามจะถ่ายอีกก็เปลี่ยนเพลงซะแล้ว แถมขี้เกียจรอมันวนมาเพลงเดิมอีก คนอื่นเลยอดภาพสว่างๆเลย โชคร้ายหน่อยนะครับ ชาวคณะ ผมมันคนพื้นที่ อยากมาอีกก็ค่อยมาอีก (ฮิๆ)
ตอนนั้นที่สถานีก็หนาวมากเพราะ ไดไคดัง มันทำแบบเปิดโล่ง ก็ไม่ไหวกันแล้วกลับบ้านกันดีกว่า กลับมาคนอื่นยังหิวกันได้อีกแน่ะ เพิ่งกินกันมาตอน สี่ห้าโมงเย็นเอง ข้าพเจ้าเติมข้าวคัทซึคุระไปหลาย ไม่ค่อยหิวเท่าไร รอบดึกก็เลยกินได้นิดหน่อย รีบนอนหลับเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตะลุยอีก

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (1)


Day 5 The first step in Kyoto (Nov. 23)
เนื่องจากความเหนื่อยล้า การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ทำให้วันนี้ตกลงจะไปเกียวโตด้วยชินคันเซน ฮิคาริ 401 (ชินคันเซนสายโทไคโด สุดทางที่ชินโอซาก้า กับสายซันโย สุดทางที่ฟุกุโอกะ มีชินคันเซนสามประเภท คือ โนโซมิเร็วสุด จอดแต่ป้ายใหญ่ๆ เช่น นาโกย่า เกียวโต ชินโอซาก้า แต่เจอาร์เรลพาสใช้ไม่ได้ รองลงมาเป็นฮิคาริ หรือแปลเป็นไทยคือแสงสว่าง จอดเพิ่มมาอีกไม่กี่ป้าย ซึ่งเจอาร์เรลพาสครอบคลุมคลาสนี้ และสุดท้ายโคไดมะจอดทุกป้าย) ซึ่งไม่ใช่รอบแรก แต่ก็เป็นขบวนเช้าเหมือนกันและด้วยความกังวลว่าจะไม่ได้ที่นั่งเนื่องจากไม่สามารถจองที่นั่งได้ จึงทำให้ออกเช้ามากเช่นเดิม พวกเรามาถึงสถานีโตเกียวก่อนเวลาที่ฮิคาริจะเปิดประตูขบวนรถให้เข้าเสียอีก นุ้ยเลยมีเวลาถ่ายรูปกับโนโซมิที่จอดอยู่ข้างๆ ไม่ได้ขึ้น แค่ถ่ายรูปก็ยังดี พวกเรารอจนคนขับมาเปิดประตูให้ แล้วเข้าไปในตู้เป็นกลุ่มแรก ดังนั้นได้นั่งสบายตลอดสองชั่วโมง สามสิบเจ็ดนาที ช้ากว่าโนโซมิที่นุ้ยถ่ายรูปแค่เจ็ดนาที
ระหว่างทางก็เริ่มกินข้าวเช้าเป็นขนมปังอีกแล้วครับท่าน (ตลอดทริปคาดได้เลยว่าข้าวเช้าจะเป็นขนมปัง เพราะไม่ค่อยมีเวลา) และเป็นไปตามคาด ผู้คนเริ่มขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆจนต้องยืนกันตั้งแต่ชิซูโอกะ (จังหวัดที่มีภูเขาไฟฟูจิ) วันนั้นทัศนียภาพไม่ดี คาดว่าฝนจะตกอีกแล้ว ดังนั้นมองไม่เห็นฟูจิ (รอดตัวไป เพราะบอกคณะจากไทย ผิดช่วงจากที่ต้องดูก่อนถึงชิซูโอกะ แต่ดันบอกเป็นให้ดูหลังชิซูโอกะ ก็เลยไม่เห็นแม้แต่ฐานของฟูจิ) ระหว่างทางผ่านนะโกย่า เมืองแห่งโตโยต้าด้วย ซึ่งเมืองนี้ขึ้นชื่อ ปลาไหลอร่อย แต่พวกเราคงไม่มีโอกาสชิมปลาไหลเมืองนี้ เนื่องจากไม่มีเวลาวิ่งย้อนกลับมา ถึงอย่างไร ก็ได้ชิมปลาไหลอร่อยที่ตลาดซึกิจิแล้ว (ชุดที่พวกเราสั่งทานกันในร้าน มีปลาไหลมาให้ตัวหนึ่งด้วย มิน่าชุดนั้นถึงได้แพงกว่าชุดอื่นๆ)
และแล้วก็มาถึง เกียวโต ตามเวลาเป๊ะ (ชินคันเซน ขึ้นชื่อเรื่องความตรงเวลา ทำสถิติไว้ คือ ช้าเฉลี่ยทั้งปี สิบสองวินาที) และตามคาดเป๊ะ คือ คนลงเกียวโตมากกกกก เพราะวันนี้ถึงแม้จะเป็นวันพฤหัสแต่เป็นวันขอบคุณแรงงานของที่นี่ ซึ่งเป็นวันหยุดประจำชาติ ก้าวแรกที่เหยียบเกียวโตจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่กะมาเที่ยวดูโมมิจิที่นี่กัน (คนญี่ปุ่น ก็เหมือนคนไทยที่วันหยุดทีคนก็แห่กันไปเที่ยวที่) สรุป แทนที่จะเจอผู้คนพลุกพล่านที่โตเกียว ดันมาเจอที่เกียวโตซะนี่
เนื่องจากหอเราไม่ได้อยู่เมืองเกียวโต แต่อยู่ที่โอบาคุ เมืองอุจิ (เมืองที่ชาเขียวดีที่สุดในญี่ปุ่น) ดังนั้นต้องต่อเจอาร์ไปอีกยี่สิบกว่านาที ก็ถึงแล้ว ถึงปุปหนุ่มๆก็ต้องเอาของไปเก็บ ส่วนสาวๆก็เดินสำรวจเมืองกันทันทีครับ นึกว่าหลงหายไปไหนซะแล้ว ก่อนเริ่มเที่ยวของวันนี้ ก็กะหาอะไรกินง่ายๆก่อน บริเวณสถานีก็มีร้านอาหารจีนเปิดขายแล้วร้านหนึ่ง ดูภายนอกธรรมดามาก แต่เปิดอยู่ร้านเดียว ก็กินร้านนี้แหละ เข้าไปปุ๊ปเหมือนตอนอยู่โตเกียวอีกแล้วครับ คือดูภายนอกไม่ได้ต้องดูข้างไหน สรุปคือ ร้านนี้เป็นร้านดังประจำโอบาคุ สังเกตจากลายเซ็นคนดังที่มากินร้านนี้ ติดอยู่เต็มร้านเลยครับ อยู่มาตั้งนานเกือบแปดเดือนพึ่งรู้วันนี้แหละว่ามีร้านดังอยู่ตรงนี้ด้วย แต่เดี๋ยวก็ต้องย้ายแล้ว คงมีโอกาสกินร้านนี้กับคณะจากไทยนี่แหละ
ทานเสร็จ อิ่มท้องแล้ว ตามแผนว่าวันนี้ฝนตก ประกอบกับภายในเกียวโตคนเยอะ เลยกะว่าจะไปอควาเรี่ยมที่โอซาก้ากัน จึงเริ่มออกเดินทางไปต่อรถที่สถานีเกียวโต (ต่อไปนี้ สถานีนี้จะปรากฏอยู่ในทริปนี้บ่อยมาก เพราะเวลาจะไปไหนก็ต้องมาต่อที่นี่ประจำ) ใช้เวลาจากสถานีเกียวโตแค่ยี่สิบแปดนาทีก็ถึงสถานีโอซาก้าแล้ว นั่งชินไคโซคุไปนะ หรือชื่อไทย รถเร็วใหม่ ซึ่งมีวิ่งบ่อย ทุกสิบห้านาทีแถมช้ากว่าชินคันเซนแค่เก้านาที เลยได้ใช้บริการบ่อย (จังหวะมักไม่ค่อยตรงกับชินคันเซน ดังนั้นรถนี้มาก็ขึ้นประจำ) ถึงโอซาก้าก็ต้องต่อใต้ดิน ที่วิ่งอยู่บนดิน (ไม่ต้องงงครับ มันเรียกว่าซับเวย์สายจูโอ ซึ่งวิ่งผ่านใต้ดินใจกลางเมืองโอซาก้า แต่ตอนไปใกล้ท่าเรือ บ้านเรือนไม่ค่อยแน่นแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมุดใต้ดินให้เปลืองตังค์ จึงสร้างให้ลอยขึ้นมาเหมือนบีทีเอสบ้านเรา) ไปสถานีโอซาก้าโกะ หรือ แปลเป็นไทยคือ ท่าเรือโอซาก้า ซึ่งอควาเรียมอยู่บริเวณที่เขาเอาแถบท่าเรือเก่ามารีโนเวชั่นใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยว อควาเรียมนี้ขึ้นชื่อด้านแสดงสัตว์น้ำที่อยู่บริเวณแปซิฟิคริม หรือรอบๆมหาสมุทรแปซิฟิคนั่นเอง มีแทงค์ถึงสิบสามแทงค์ ถือเป็นอควาเรียมระดับโลกเลยที่เดียว ค่าเข้าก็สองพันเยน แต่ถือว่าคุ้มมาก
ก่อนเข้าไปพวกเราก็หยุดดูการแสดงประมาณ เอาไว้เรียกลูกค้า หรือเอนเตอเทนท์คนที่มาเที่ยวย่านนั้น เป็นการแสดงตลกผสมกับโชว์ฝีมือการโยนคลับที่จุดไฟไว้ สองคนช่วยกันแสดง ช่วงแรกก็เป็นการโยนหกอัน นอกจากโยนของตัวเองแล้ว ต้องมีการโยนไปให้อีกคนด้วยนะ นับถือเลย หลังจากนั้นก็เข้าอควาเรียม ช่วงแรกของการเดินในอควาเรียม เพราะยังไม่รู้แกวของที่นี่เลยต้องเบียดกับผู้คนเพื่อจะได้ดูปลาต่างๆ แต่ความจริงแล้วแทงค์แต่ละแทงค์สูงมาก แล้วเราสามารถเดินลงไปได้เรื่อยๆ ในแต่ละชั้นก็สามารถเห็นสัตว์น้ำได้เหมือนกัน ไม่น่าเบียดกับชาวบ้านเลย ใช้เวลาในนั้นประมาณสามชั่วโมง ออกมาอีกทีมืดแล้ว ความจริงตอนนี้ที่ญี่ปุ่นแค่ห้าโมงเย็นก็มืดเหมือนทุ่มหนึ่งแล้ว ออกมาก็ถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาสประดับไฟ และฉลามวาฬประดับไฟหน้าอควาเรียม ลืมบอกไปในนั้นมีไฮไลต์อยู่หลายชนิดเหมือนกัน ฉลามวาฬก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้มีเพนกวิน ปลาโลมา โอะ เพียบจำไม่หมด ลองดูรูปจากเสาร์ วิท นุ้ย ณีแล้วกัน ถ่ายไว้เพียบ อ้อ อีกอย่างเนื่องจากวิทอยากกินทะโกะยากิ แล้วไอ้เนี่ยนะมันมีต้นกำเนิดมาจากโอซาก้า เผื่อไม่ให้เสียเที่ยวก็เลยซื้อกินกันซะหน่อยระหว่างทางกลับจากอควาเรียมไปสถานีรถไฟ เสียดายต้องรีบขึ้นรถไฟได้กินตอนมันเย็นแล้ว วิทเลยบอกว่าไม่ค่อยอร่อยเท่าไร
เพื่อให้วันนี้สบายๆ และมีเวลาไปซื้อกับข้าว มาทำกินกัน ก็ต้องกลับเร็วหน่อย เพราะซุปเปอร์ของถูกแถวบ้านมันปิดเร็วสองทุ่มก็ปิดแล้ว ห้างส่วนใหญ่ในเกียวโตก็ปิดสองทุ่มเหมือนกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้ปิดเร็วขนาดนี้ คงเพราะคนเขามีกิจกรรมอย่างอื่นทำนอกจากการเดินห้าง ไม่เหมือนบ้านเรา พอสองทุ่มปั๊ปเขาก็คงขี้เกียจเดินห้างแล้วมั้ง
เย็นนี้เลยได้กินข้าวผัดฝีมือเสาร์ อร่อยนะเนี่ย ยังพอจำรสชาติได้อยู่ แม้ว่าเครื่องปรุงจะเป็นญี่ปุ่นก็เถอะ ไม่ครบสูตรเหมือนเมืองไทย อิ่มไปอีกมื้อหนึ่ง แต่แปลกทั้งๆที่วันนี้กลับเร็วกว่าปกติมากไหงนอนดึกเหมือนทุกวันก็ไม่รู้ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้น มีเวลาก็เลยนั่งคุยกัน ไปๆมาๆก็นอนดึก ตื่นเร็วอีกแล้ว คิดไปคิดมา พวกแกนี่ก็อึดเหมือนกันนะ หรือว่าเป็นประเภทชาร์จเร็ว เวลานิดหน่อยบนรถก็เต็มแล้ว (แซว)

Thursday, December 14, 2006

Trip Japan Nov. 19-28, 2006 – Tokyo Episode(4)


Day 4 The last day in Tokyo (Nov. 22)
หลังจากผจญภัยมาแล้วด้วยเส้นทางอันแสนไกล วันนี้ก็กะจะเป็นวันเบาๆ ที่ไม่ใช่วันเบาๆนั่นนะ เริ่มยามเช้าที่สายกว่าแผนการที่พยายามหลบเวลาเร่งด่วนในโตเกียวที่ขึ้นชื่อความเป็นปลากระป๋องในรถไฟยามเร่งด่วน แต่ถือเป็นโชคดีที่ผู้คนยังไม่มากเท่าไร อดเจอบรรยากาศปลากระป๋องญี่ปุ่นเลย อ้อ ลืมบอกไปข้าวเช้าวันนี้เป็นขนมปังอีกแล้วครับท่าน เพื่อความรวดเร็วครับ สักพักพวกเราก็มาถึงสถานีโตเกียว เพื่อเดินต่อไปยังพระราชวังขององค์จักรพรรดิฮิโรฮิโต โดยเลือกเส้นทางตึกสวย แล้วก็ผ่านตึกที่ทำการสำนักงานใหญ่แบงค์ที่เป็นเจ้าของทุนนุ้ยตอนปริญญาโทด้วย เลยถ่ายรูปเป็นหลักฐานซะหน่อย แล้วก็ผ่านตึกสวยๆอีกหลายตึก แต่ผมอ่านออก แต่แปลไม่ออกครับ ขอข้ามแล้วกัน เมื่อมาถึงสวนรอบๆพระราชวังก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย จากตรงนั้นเห็นอาคารรัฐสถาญี่ปุ่นด้วย แต่แค่เห็นนะ เดินไปก็ไกลเหมือนกัน จึงเดินตามแผนเดิมไป นิจูบาชิ หรือสะพานแว่นตานั่นเอง คือ เมื่อมองเงาสะท้อนบนพื้นน้ำ รวมกับตัวสะพานจริงๆจะมองเห็นเป็นแว่นตากลมๆ สะพานนี้เป็นทางเข้าหลักเพื่อเข้าไปในตัวพระราชวังจริงๆ ก็มีกรุ๊ปทัวร์ทั้งเด็ก คนสูงอายุ กระจายกันอยู่บริเวณนั้นถ่ายรูปกัน พวกเราก็เอากับเข้ามั่ง วันนี้ดูทุกคนขึ้นกล้องมากขึ้น ไม่ใช่เพราะแบบมันดี หรือฝีมือถ่ายรูปมันดีหรอกนะ ความจริงก็คือ วันนี้อากาศดี เป็นวันแรกที่อยู่โตเกียวแล้วอากาศมันดี พวกเราใช้เวลาบริเวณนั่นนานอยู่เหมือนกัน ประกอบกับคณะจากไทยต้องการไปซ่อมดิสนีย์ และฮาราจูกุ ทำให้ต้องออกจากบริเวณนั่นเลย โดยไม่ไปสวนตะวันออกของพระราชวัง ซึ่งค่อนข้างไกลจากบริเวณสะพานนิจูอยู่มากเหมือนกัน
ก่อนไปก็หิวกันแล้ว เลยหาร้านแถวสถานีกินกันก่อน แต่ด้วยความสังเกตของพวกเราก็พบว่าร้านที่อยู่ใต้ทางด่วน ใต้ทางรถไฟมักอร่อย และไม่แพง เลยได้ร้านอาหารญี่ปุ่นแดกด่วนใต้ทางรถไฟเจอาร์แถวๆนั่นแหละ รสชาติก็ใช้ได้นะ แถมเข้าไปในร้านแล้วดูดีเหมือนกัน ไม่เหมือนภายนอกที่ดูไม่ค่อยได้ เพราะอยู่ใต้ทางรถไฟทำให้ดูเก่าๆ ทะมึนๆ รู้สึกเสาร์สั่งพวกหมูทอด หรือไก่ทอดอีกแล้ว กินเนื้อไม่ได้ ช้อยก็ลดไปเยอะอย่างนี่แหละ ต้องทำใจนะเสาร์ อยู่ญี่ปุ่นแต่กินเนื้อไม่ได้ (เฮ้อ สงสารแทน) หลังอาหารคาวพวกเราก็เข้าไปชิมซอฟท์ครีม ทำจากนมฮอกไกโด ห้าคนกินแค่สองโคนคร้าบ ก็กะกินเอารสชาตินี่ไม่ได้กินเอาอิ่ม ก็อร่อยดีนะ เป็นร้านใต้ทางรถไฟอีกแล้ว ด้านนอกดูงั้นๆ แต่ในร้านทำสวยเหมือนกันแฮะ ชักติดใจพวกร้านใต้ทางแฮะ
และแล้วก็ถึงเวลาแยกจากกัน แต่ไม่ได้แยกจากกันเพราะจบทริปนะ เนื่องจากข้าพเจ้าง่วงมาก เพราะนอนน้อยมาหลายคืนติดๆกัน คืนแรก ได้ยินเสียงกรนของวิทกับนุ้ยประสานกัน เล่นเอานอนไม่ค่อยหลับไปทั้งคืน คืนที่สองบนรถไฟก็หลับๆตื่นๆ คืนที่สามหลับเป็นตายแต่ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็เลยต้องขอแยกตัวไปหลับก่อน ไม่ไหวแล้วจริงๆ ปล่อยให้ชาวคณะจากไทยนั่งเจอาร์ไปไมฮะมะ (ดิสนีย์อยู่สถานีนี้คงยังจำกันได้นะ) กันเอง คิดว่าคงไม่หลงแล้ว แต่ก็เดินไปส่งถึงชานชลา แล้วก็นัดกันไว้หกโมงเย็น ที่ประตูมารุโนะอุจิใต้ ส่งขึ้นรถเสร็จขอตัวกลับไปนอนห้องต้าก่อนแล้ว
ตอนเย็นหลังจากได้นอนกลางวันเพิ่มอีกหลายชั่วโมงค่อยรู้สึกสดชื่นหน่อย แล้วชาวคณะก็โทรมาเลื่อนเวลานัดจากหกโมงเย็นเป็นไม่มีกำหนด เพราะกำลังเมามันกับเครื่องเล่นในดิสนีย์ซีกันอยู่ เอ หรือเมามันกับการต่อแถวรอเล่นเครื่องเล่นหว่า ได้ข่าวว่ารอกันเป็นชั่วโมงๆเลยนี่กว่าจะได้เล่นเครื่องเล่นแต่ละอัน มันก็อย่างนี้แหละ คนญี่ปุ่นมันบ้าดิสนีย์ นี้ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์นะ กว่าจะได้เล่นไอ้พวกเครื่องเล่นดังๆ อย่างเช่น Tower of Horror (เครื่องเล่นใหม่ เพิ่งมีปีนี้เลย) เป็นได้รอสามชั่วโมงแน่ แค่นี้ยังเด็กๆคร้าบ
เนื่องจากได้นอนกลางวันมาแล้ว สติเริ่มเต็มร้อย ก่อนมาหาชาวคณะก็ยังพอมีเวลา เลยสำรวจป้ายราคารถไฟใต้ดินปรากฏว่า จากรอปปองหงินั่งไปสถานีโตเกียวด้วยใต้ดินราคาร้อยห้าสิบเยนเท่ากับนั่งไปเอะบิซึเลย (คงจำกันได้ว่า เริ่มใช้เจอาร์เรลพาสแล้ว แต่บ้านต้าอยู่รอปปองหงิ ซึ่งไม่มีเจอาร์ผ่าน สถานีเจอาร์ใกล้สุดก็คือ เอะบิซึ เลยต้องนั่งเจอาร์สายรอบเมืองอ้อมมาจากสถานีโตเกียวมาเอะบิซึก่อนที่จะต่อใต้ดินสองป้ายถึงรอปปองหงิ) พอรู้ราคาปั๊ป เราก็ทดลองสายใหม่เลยครับ ปรากฏว่าประหยัดเวลาไปได้มากโข แถมเสียตังค์เท่ากันด้วย โทษทีนะครับชาวคณะที่พาอ้อม ก็ตอนแรกมันสมองมันเริ่มประมวลผลช้าลงแล้วนี่ นอนน้อย
พอถึงสถานีโตเกียว ก็รอสักพักใหญ่ชาวคณะกว่าจะมาถึง พอเจอกันแผนเดิมที่จะไปซ่อมย่านบันเทิงฮาราจูกุ ชินจูกุก็เป็นอันพับไปเพราะ แต่ละคนไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจากดิสนีย์ซีมากัน จึงดำเนินการไปจองตั๋วชินคันเซนเที่ยวแรกเพื่อไปเกียวโตแทน ปรากฏว่าเต็มหมดทุกขบวนครับ เหลือแต่ที่นั่งที่ไม่ต้องจองที่นั่ง คือ ใครมาก่อนก็ได้นั่งก่อน ในชินมันจะแบ่งง่ายๆเป็นที่นั่ง Reserved กับ Non-reserved เป็นสันญาณบอกว่าคนไปเที่ยวเกียวโตเยอะมาก เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนพิเศษของเกียวโต คือ ทั่วญี่ปุ่นคนมาเที่ยวไม่มากถือว่าเป็นโลว์ซีซั่น ตั๋วเครื่องบินเลยถูก แต่สำหรับเกียวโตแล้วเป็นไฮซีซั่นครับ เพราะคนอยากมาดูใบไม้แดงที่นี่ ซึ่งนับว่าสวยที่สุดแล้วในญี่ปุ่น
พวกเราก็ต้องทำใจแล้วก็กลับห้องต้าครับ ก่อนเข้าห้องก็หาอะไรง่ายๆ ก็ใกล้ๆร้านโซบะเมื่อคืนนั่นแหละ เป็นร้านอาหารจีนแฟรนไชเปิดใหม่ในย่านนั้น ที่พวกเราอยากกินเมื่อคืน แต่คนเต็มร้านเลยเปลี่ยนเป็นร้านโซบะข้างๆ ที่น้ำซุปอร่อยๆ ร้านอาหารจีนร้านนั้นดูภายนอกดูดีมาก แต่ลองกินดูแล้ว แพงก็แพงกว่าร้านโซบะข้างๆ รสชาติก็งั้นๆ สรุป คนเราจะดูแต่ภายนอกไม่ได้ ต้องลองให้เห็นเนื้อใน ทำใจครับสั่งมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ฟาดหมด อร่อยไม่อร่อย หิวอะ แต่คนอื่นเหลือกันตรึม
กลับมาห้องต้าก็จัดของ เตรียมออกเดินทางพรุ่งนี้ แล้วก็ได้ล่ำลาเจ้าของห้องได้นิดหน่อย เพราะแต่ละคนเหนื่อยกันมาก หลับกันอย่างรวดเร็ว พรุ่งนี้ออกเช้าอีกคงไม่ได้เจอหน้ากัน ถึงไทยแล้วค่อยเลี้ยงขอบคุณนะครับ ต้า เพื่อนณีผู้ใจดีให้ที่นอนพวกเราตั้งสามคืน ไม่งั้นแย่เลยนะเนี่ย ไม่รู้จะไปนอนไหน โรงแรมสองห้องก็ไม่รู้จะพอไหม ของแต่ละคนพามายังกะจะย้ายบ้าน (แซว)

Trip Japan Nov. 19-28, 2006 – Tokyo Episode(3)


Day 3 Nov. 21 Tateyama Kurobe Alpine Route (Toyama-Nagono-Tokyo)
ต่อจากวันที่สองนะคร้าบ แต่พอดีมันข้ามวันมาแล้วก็เลยขึ้นเดย์ทรีก่อน แล้วค่อยเขียนต่อ บนรถก็มีเรื่องฮาอีกจนได้ เพราะความไม่จัดเจนในภาษาญี่ปุ่นของเรา หัวหน้าประจำขบวนรถอุตส่าห์เดินมาบอกให้เราหมุนเบาะมาแล้วจะได้นอนสบาย (นึกสภาพรถทัวร์บ้านเรา ถ้าข้างหน้าสามารถหมุนเบาะมาได้ ก็จะได้ตั้งขานอนสบายขึ้น กลายเป็นหนึ่งคนใช้ที่นั่งไปสองตัว) แต่พวกเราก็งงกันจนเขาต้องหมุนเบาะให้ ตอนหมุนก็งงอีกเพราะมองไม่ทัน แต่เห็นเขาเอาขาแตะๆแถวฮีทเตอร์ ก็นึกว่าต้องมีกลไกแถวนั้น ลองทำเองอยู่ตั้งนานก็ทำไม่ได้ หาแถวๆฮีทเตอร์ก็ไม่เจออะไรเลย จนสุดท้ายก็ถามนายรถอีกคน เขาก็ทำหน้างงๆ ประมาณว่าพวกเอ็งเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้เหรอไง เขาก็แค่เอามือผลักเบาะหมุนเอาก็ได้แล้ว ไม่ได้มีกลไกอะไรซับซ้อนเลย แต่ต้องออกแรงมากหน่อยกว่ามันจะหลุดจากฐานแล้วถึงจะหมุนได้ ตกลงหัวหน้าประจำรถเขาแค่เช็คความร้อนที่ออกมาจากฮีทเตอร์แค่นั้นแหละ สุดท้ายก็ได้นอนสบายขึ้น แต่ร้อนมากเพราะในรถเปิดฮีทเตอร์แรง (นึกสถาพบ้านเรา เปิดแอร์แรงๆในสำนักงาน ประมาณนั้นแหละครับ แต่นี้เป็นฮีทเตอร์) เล่นเอาต้องถอดเสื้อผ้าที่เตรียมลุยเส้นทางหิมะเหลือแค่เสื้อยืดตัว แล้วก็นอนหลับๆตื่นๆไปตลอดทาง แถมก่อนถึงสถานีโทยะมะ ซึ่งไม่ใช่สถานีปลายทาง ถ้าเลยก็ต้องเสียเวลานั่งย้อนกลับมาอีก เลยต้องมาลุ้นว่าถึงหรือยัง เพราะว่าเช้าๆเขาไม่ประกาศสถานี เพราะเมื่อคืนเขาประกาศรวดเดียวว่าจะถึงไหนเวลาเท่าไรตอนเช้าจะได้ไม่ต้องประกาศอีก กลัวรบกวนเวลานอนผู้โดยสารว่างั้นเถอะ แล้วถึงจะหรี่ไฟให้นอน แต่สรุปยังไม่เลยคร้าบ แถมรถเลตอีก แต่เพราะสาเหตุอะไรไม่ทราบเหมือนกัน เพราะภาษาญี่ปุ่นยังอ่อนด้อยฟังออกแค่ว่าเขาบอกว่ามันเลต ทำให้บางคนที่จะไปต่อรถอีก จะไปไม่ทัน แต่เลตแค่ยี่สิบกว่านาที เขาขอโทษแล้วขอโทษอีก เป็นพี่ไทยเหรอ เลตเท่าไรก็ไม่บอก ให้ลุ้นเอาเอง แถมไม่มีการขอโทษครับ คุณผิดเองที่เลือกใช้การรถไฟไทยที่ไม่รับประกันเรื่องเวลา แต่อย่างไรก็ตามการเลตของเจอาร์ไม่สร้างปัญหาให้กับเราคร้าบ เพราะรถบัสรอบแรกจากสถานีทะเทะยะม่ามันออกแปดโมงครึ่ง ตอนนั้นเวลายังเหลือเฟือ ว่างพอซื้อน้ำจากตู้กด (เมื่อคืน รีบมากจนไม่ได้กดน้ำ อดน้ำมาทั้งคืน) แถมมีเวลาหาของกินที่สถานี แต่เจอแค่ เอคิเบนโตะ (ทุกคนคงรู้จักเบนโตะ ก็คือข้าวกล่องญี่ปุ่นนั่นเอง ส่วนเอคิก็คือสถานีรถไฟ ดังนั้นมันจึงรวมกันเป็นข้าวกล่องขายที่สถานี ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้ของขึ้นชื่อของท้องถิ่น เลยเป็นเหมือนของขึ้นชื่อของท้องที่นั้นๆไปเลย) ราคาของเอคิเบนโตะก็อยู่หลักเจ็ดร้อยเยน แต่กล่องเล็กไปหน่อย เลยไม่ซื้อ กะว่าไปแถวทะเทะยะม่ามันประมาณแปดโมงแล้วน่าจะมีอะไรกินมากกว่า ก็เลยไปต่อรถไฟเอกชน สายโทยะมะ-ทะเทะยะม่า (ทะเทะเป็นแค่เมืองในจังหวัดโทยะม่า)
ระหว่างนั่งไปนี่ได้อารมณ์ยามเช้าในชนบทมากเลย ระหว่างทางก็มีเด็กนักเรียนมัธยมขึ้นมาบ้างประปราย เพราะความเป็นชนบทคนก็เลยไม่เยอะมาก แต่ แต่ คณะจากไทยไม่ไหวแล้วครับ เครียดก็เครียด เหนื่อยก็เหนื่อยมาจากเมื่อคืน หลับมากกว่าตื่น ประมาณว่าที่นั่งรถไฟ รถบัส เป็นเหมือนแท่นชาร์ตแบตมือถือ นั่งปุปชาร์ตปั๊ปครับ หลับกันประจำ ทั้งที่ทริปญี่ปุ่นคราวนี้บรรยากาศการเดินทางก็ถือเป็นการท่องเที่ยวเหมือนกันน้า ส่วนเรายังพอเหลือแรง หรือตาค้างจากเมื่อคืนก็ไม่รู้ นั่งเอาบรรยากาศยามเช้าไปเรื่อยๆ แล้วก็เอาอีกแล้วครับท่าน แม้ว่าเมื่อคืนฝนจะตก (ดูจากพื้น พื้นมันเปียกๆ) แต่แสงแดดยามเช้าก็เริ่มมีให้เห็นตามพยากรณ์อากาศเปะ วันนี้เป็นวันแรกที่คณะจากไทยเจออากาศดีคร้าบ
และแล้วก็มาถึงทะเทะยาม่า จุดเริ่มต้นการเดินทางเส้นทางสายหิมะ ที่พวกเราได้เจอหิมะกันครั้งแรก เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ไม่เปิดให้รถทั่วไปผ่านนะครับ เพราะเขาสร้างขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ (ไม่รู้ว่าจุดประสงค์อื่นอีกหรือเปล่า) เก็บตังค์ตลอดทั้งรูตก็ประมาณหมื่นเยน พอซื้อตั๋วเสร็จก็หาของกินกัน แต่ว่าเจอแต่ร้านสะดวกซื้อ มื้อเช้าวันนั้นเลยกลายเป็นขนมปังจิ้มนมข้นหวานไป รู้งี้ซื้อเอคิเบนโตะจากสถานีโทะยะม่า มากินคนละกล่องอิ่มสบายท้องไปแล้ว ต้องลุยเส้นทางหิมะด้วยหนมปังไปซะนี่ ระหว่างรอขั้นรถบัสไปมุโรโดะ ก็สังเกตผู้ร่วมทาง เจอแต่คนที่กะมาเล่นสกี หรือสโนว์บอร์ดทั้งนั้น แต่งมากันเต็มยศ ชุดก็เป็นแสนเยน อุปกรณ์ประมาณแสนเยน มีแต่ห้าคนจากไทยเนี่ยแหละ ไม่รู้หลงไปร่วมเส้นทางกับเขาได้ไหง รองเท้าก็เป็นรองเท้าวิ่งธรรมดา ชุดก็ไม่ได้ป้องกันความหนาวอะไรมากเลย กลายเป็นตัวประหลาดไป ตอนนั้นก็เริ่มหวั่นๆ คิดว่าข้างบนถ้าไม่ใช่เป็นรองเท้าสกีแล้วจะเดินไม่ได้ คงเซ็งเพราะว่าอุตส่าห์มาถึงแล้วแต่ไม่ได้เล่นหิมะนี่ถึงกับเซ็งเด่วเลยนะ แถมคุณป้าขายตั๋วรถบัสบอกว่าตอนนั้นข้างบนอุณหภูมิติดลบสามองศา แกคงห่วงพวกเราว่าเสื้อผ้าแค่นี้จะพอเหรอ (ตอนนั้นเราใส่ไปประมาณเสื้อยืดสองตัว สเวตเตอร์ตัว เสื้อหนาวธรรมดาตัว คิดว่าน่าจะเอาอยู่ แต่ก็ภาวนาให้ข้างบนอย่ามีลม เพราะไม่ถูกโรคกับลมแรง) แต่ก็ขึ้นรถบัสไปทั้งๆความกังวลอย่างนั้นแหละ ลุยเป็นลุย ไม่มีคำว่าถอย มาถึงแถวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคร้าบ
ระหว่างทางก็เริ่มผ่านโซนที่ขึ้นชื่อเรื่องใบไม้แดง ซึ่งจะแดงบ้าง เหลืองบ้างทั้งเขา แต่ช่วงที่ไปร่วงหมดแล้ว ถ้าจะไปดูใบไม้แดงย่านนั้นต้องไปเดือนสิบ เดือนนี้ก็ลุยหิมะแล้วละครับ ก็เลยผ่านไม่แวะจุดนั้นกัน รถบัสก็ไต่ระดับไปเรื่อยๆจนเริ่มเห็นยอดภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ในใจก็คิด รอพ่อก่อนนะลูกเดียวพ่อก็ไปถึงแล้ว จะไปเล่นหิมะให้หนำใจ แต่ขึ้นต่อไปอีกหน่อย ก็ไม่ต้องแหงนคอมองยอดแล้วครับ ข้างทาง คร้าบข้างทางหิมะเป็นๆ ของแท้ไม่ใช่เทียมแบบที่ไทย (ของที่ไทยก็ไม่เคยไปเล่นหรอกนะ) แรกๆก็แค่ริมถนน ขึ้นไปอีกก็เริ่มเต็มป่าสองข้างทาง แล้วภูเขารอบๆกลายเป็นสีขาวหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เพลินไปกับวิวข้างทางไปเรื่อยๆก็ถึง มุโรโดะ (ไฮไลต์ของวันนี้ เป็นที่ราบเล็กๆบนเขาเทือกเขาแอลฟ์ญี่ปุ่น ที่ระดับความสูงสองพันสี่ร้อยห้าสิบเมตร ซึ่งยอดเขาที่สูงที่สุดต่อจากมุโรโดะนั้นสูงสามพันสิบห้าเมตร ถือเป็นสามภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น เคียงคู่กับภูเขาไฟฟูจิ กับอีกลูกที่คิวชู) พวกเราก็เข้าไปหลบหนาวในตึกก่อน เพื่อเตรียมการให้พร้อมกับการเผชิญความหนาวและหิมะ พอออกมาจากตึก แค่นั้นแหละคร้าบ โลกก็กลายเป็นสีขาวไปหมด ตัดกับท้องฟ้าสีคราม โฮ รู้สึกคุ้มค่ากับการเดินทางไกลของพวกเรามาก ไอ้ความกลัวว่าจะเดินเล่นบนพื้นหิมะก็หายไปหมด เพราะหิมะอัดกันแน่นเป็นเมตร บนผิวก็มีหิมะใหม่ที่ตกมาเมื่อคืนหนาไม่กี่เซ็น อย่างนี้เดินสบาย ก็เดินเล่นหาวิวถ่ายสวยๆกันละครับ พวกเราก็เลือกเส้นทางสั้นที่สุด (ที่ราบมุโรโดะ มีเส้นทางเดินชมความงามหลายคอร์สให้เลือก แต่พวกเราคงเดินไปได้ไม่ไกล เพราะต้องกลับโตเกียวให้ทันคืนนี้ ไม่งั้นต้องหาโรงแรมนอน แล้วก็คณะจากไทยคงไม่รอดเดินไปไกลๆหรอก ฮะๆ) บางจังหวะก็เดินตกหลุมหิมะ เพราะว่าบางบริเวณหิมะยังไม่อัดกันแน่น ใครโชคไม่ดีก็ซวยไป แต่เอะ หรือเพราะเป็นน้ำหนักมากกว่าโชค เลยทำให้นุ้ยตกหลุมหิมะบ่อยมาก (ฮา) บางจังหวะเพื่อให้ได้ภาพที่สวยพวกเราก็เดินเฉียดหน้าผากันมาก ข้างล่างก็เป็นทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว ก็ได้แต่บอกคณะจากไทยว่าถ้าพลาดก็ขอให้ร่วงไปทางเขาแทนทางทะเลสาบนะ เพราะว่าถ้าร่วงไปทางนั้นกระผมไม่ลงไปช่วยแน่ เพราะตัวเองก็คงเอาไม่รอด งานนี้ต้องพึ่งหน่วยกู้ภัยแน่นอน แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เลยได้ภาพสวยๆมาฝากเพียบ แต่ทำไมรูปที่ถ่ายออกมาถึงดูไม่ค่อยเห็นความชันของหน้าผา ความหวาดเสียวเท่าไรเลย สาวๆอุตส่าห์เสี่ยงตายลงไปถ่ายเพื่อภาพสวยๆนะเนี่ย สุดท้ายไปจบที่ทางไปออนเซ็น คงรู้จักกันนะครับออนเซ็น หรือบ่อน้ำแร่ธรรมชาตินั่นเอง กระผมก็อยากจะลองไปแช่ซะหน่อย เพราะได้กลิ่นกำมะถันลอยมาแต่ไกล กะว่าที่นี่ต้องมีแร่ธาตุเยอะแน่เลย แล้วก็บนภูเขาหิมะอย่างนี้ อาจมีโอกาสเจอลิงบ่อน้ำร้อนด้วยก็ได้ ไม่เฉพาะคนเท่านั้นที่หนีหนาวมาแช่บ่อน้ำร้อน สัตว์ตามธรรมชาติก็ชอบแช่น้ำแร่เหมือนกัน ก็กะจะลงไปแช่กับบรรดาสัตว์ซะหน่อย แต่เส้นทางที่ไปบ่อน้ำร้อนค่อนข้างชัน พวกเราก็ใส่มาแต่รองเท้าธรรมดา ทั้งๆที่เห็นออนเซ็นอยู่ข้างหน้าแล้ว ก็ต้องกลับกันดีกว่า สำหรับคนอื่นที่ไม่ไป คงเพราะว่าอายไม่กล้าแช่บ่อน้ำร้อนญี่ปุ่นใช่ไหมละ เขาถอดกันหมดเลยตอนแช่ แต่เราอยู่นี่ลองมาหลายครั้งแล้วเลยไม่อาย ฮิๆ
หลังจากเล่นหิมะจนหนำใจแล้ว พวกเราก็หิวกันมาก เพราะตอนเช้ากินมากันน้อย เล่นเยอะอีกต่างหาก แถวนั้นก็ไม่ค่อยมีร้านอาหารด้วย จะไปหวังเอาน้ำบ่อหน้าก็ไม่ได้ (หวังมาหลายรอบแล้ว รู้สึกน้ำบ่อหน้าจะหายากมาก) ก็เลยกินกันในโรงแรมตรงมุโรโดะนั่นแหละ ตอนแรกก็นึกว่าจะชาร์จมาก แต่ราคาก็ไม่ได้สูงกว่าพื้นราบเท่าไรชุดละประมาณพันห้าร้อยเยน ถ้าเป็นเมืองไทยคงโดนชาร์จเยอะแล้ว แถมไม่อร่อย มื้อเที่ยงก็เลยได้กินอาหารชุดทงคัตซึกับชุดไก่คะระเกะ หรือไก่ทอดบ้านเรานั่นเอง รสชาติถือว่าดีถึงดีมากเลยแหละ ไม่รู้ว่าเพราะหิวมากหรือเปล่า แต่ของเขาอร่อยจริง ก็เป็นระดับโรงแรมนิ
ก่อนออกจากสถานีมุโรโดะ เราก็สังเกตเห็นป้ายบอกสภาพอากาศ ก็ลองอ่านดู ป้ายก็บอกว่าวันนี้เก้าโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเราไปถึง อากาศดีทัศนวิสัยดีเยี่ยมเห็นไปไกลสามสิบกิโล ลมพัดศูนย์กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็คือไม่มีลมนั่นแหละ และอุณหภูมิศูนย์องศา เห็นปั๊ปอึ้งเลยครับ เรียกให้วิทถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานเลยว่าพวกเราสัมผัสศูนย์องศามาแล้ว แถมวิ่งเล่นกลางแจ้งด้วย ไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนั่น เพราะไม่มีลม ประกอบกับแดดแรงด้วยมั้ง เลยทำให้ไม่รู้สึกหนาวเท่าไร
เสร็จจากที่ราบมุโรโดะ ก็ต้องไปต่อรถบัสลอดอุโมงค์ไปโผล่อีกฝั่งของภูเขาลูกเดิม เพื่อไปต่อโรปเวย์จากระดับสองพันสามร้อยสิบหกเมตร ลงมายังที่ราบคุโรเบะ (คุโร แปลว่าดำ เบะมาจากตัวอักษรที่แปลว่า ส่วน แผนก แต่รวมกันแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร) ตอนอยู่บนโรปเวย์ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ถึงแม้ว่าขนาดโรปเวย์ค่อนข้างใหญ่ แต่บรรยากาศสโลป ความสูงของพื้นข้างล่าง ความอลังการของเขารอบๆก็ทำให้พวกเราอึ้งไปได้ และแน่นอนได้ถ่ายรูปมาฝากอีกเพียบเหมือนกัน แต่คงไม่สามารถเก็บความสวย ณ ตรงนั้นมาฝากได้ เพราะฝีมือถ่ายรูปยังไม่เข้าขั้น ฟังเรื่องเราจากพวกเราแทนก็แล้วกันนะ พอมาถึงที่ราบก็ใช้เวลาถ่ายรูปแปปๆเพราะยังมีไฮไลต์ของรูตอีกทีก็คือ เขื่อนคุโรเบะ ที่หมายต่อไปของพวกเรานั่นเอง คือ ประมาณว่านอกจากมุโรโดะกับเขื่อนคุโรเบะแล้ว ที่เหลือเป็นฉิ่งฉับทัวร์หมด เมื่อมาถึงเขื่อน พวกเราก็ใช้เวลาไปกับการซึมซับบรรยากาศผืนน้ำสีเขียว กว้างสุดสายตา เขาสูงรอบตัว หิมะปกคลุมประปราย เพราะตอนนี้ลงมาที่ระดับพันสี่ร้อยเมตรแล้ว หิมะไม่มากเหมือนข้างบน แต่ก็ตัดกันดีกับภูเขาสีน้ำตาลออกดำ ได้เวลาอันควรก็ต้องเดินจากเขื่อนเข้าไปในอุโมงค์เพื่อไปต่อรถบัสไฟฟ้า (เพราะมีรางไฟฟ้าอยู่ข้างบนให้พลังงานไฟฟ้าตลอดทาง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเรียกว่าอะไร) ตรงปากอุโมงค์ฝั่งเขื่อนก็เห็นเทอร์โมมิเตอร์อันใหญ่ ลักษณะเป็นเหมือนตาชั่งหน้าปัดกลม วิทก็ถ่ายเก็บมาเป็นหลักฐานเหมือนกัน ตอนนั้นห้าองศาครับ แต่รู้สึกว่าหนาวกว่าศูนย์องศาของมุโรโดะอีก แต่เพราะตรงเขื่อนมีลม แถมแดดก็ไม่ค่อยแรงด้วยมั้ง ทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมา
เสร็จจากต่อรถบัสไฟฟ้า ก็มาสุดเส้นทางที่ห้ามรถทั่วไปเข้า ก็มาซื้อตั๋วรถบัสเพื่อนั่งไปสถานีเจอาร์ที่ใกล้ที่สุด เพราะเวลานั่นเป็นช่วงใกล้ปิดเส้นทางนี้แล้วมั้ง ประกอบกับเพื่อนร่วมคณะเมื่อเช้าอาจจะพักกันแถวนั่น ไม่ต้องรีบกลับโตเกียวเหมือนพวกเรา ก็เลยทำให้ทั้งรถบัสขนาดสี่สิบคน มีแต่พวกเราแค่ห้าคน นั่งกันสบายเลยครับ ระหว่างทางนี่ได้บรรยากาศมากเลยนะ เวลาเย็นๆในดินแดนชนบทของญี่ปุ่น ใบไม้แดง เหลืองที่ยังพอหลงเหลืออยู่มั้ง สวยมาตลอดทาง ส่วนคนอื่นนี้จำไม่ได้ว่าได้ชื่นชมธรรมชาติอย่างเราบ้างหรือเปล่า หรือว่าชาร์จแบตกันอยู่ อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ว่าที่นั่งเป็นที่ชาร์จแบต ก้นติดเบาะปุปหลับปั๊ป (ฮา)
นอกจากต้นทางคนจะน้อยแล้ว ตลอดทางแวะสถานีอื่นๆ ก็ไม่มีคนขึ้น ทำให้พวกเรามาถึงสถานีเจอาร์ชินะโนะโอมาจิเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ ที่นั้นเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในจังหวัดนะกะโนะ (เส้นทางหิมะที่พวกเราเพิ่งผ่านพ้นมาสร้างเพื่อการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดโทยะมะกับนะกะโนะนั่นเอง เพราะถ้าไปเส้นทางอื่นมันจะอ้อมเสียเวลามาก และได้สร้างเส้นทางการท่องเที่ยวที่สวยงามขึ้นมาอีกเส้นทางหนึ่ง) เมื่อมาถึงเร็ว คณะจากไทยที่เพิ่งเห็นใบไม้แดง หรือโมมิจิ (โมมิจิก็คือ เมเปิลใบเล็ก ที่ญี่ปุ่นมีเยอะ ส่วนเมเปิลแคนาดาที่นี่จะเรียกว่าคะเนะเดะมั้งถ้าจำไม่ผิด ถ้าผิดก็ขอให้ไปเช็คกับชื่อของแม่ของพระเอกในเรื่องฮะนะ โยริ ดันโหงะ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นของเรื่องที่เอฟโฟร์แสดง แล้วดังเป็นพลุแตกทั่วเอเชียไหง ชื่อของแม่พระเอกชื่อเดียวกับเมเปิลแคนาดา) ก็เลยลงไปถ่ายรูปกันใหญ่ คนแถวนั่นคงแปลกใจกันมั่งแหละ ไอ้พวกนี้มันไม่เคยเห็นรึไงวะ พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ประมาณเนี้ย แต่จะพูดจริงหรือเปล่าไม่รู้นะ เราแค่สันนิฐาน ส่วนเราหลบหนาวอยู่ในตึกดีกว่า ฮิๆอุ่น
ได้เวลาก็ขึ้นรถเจอาร์โลคัล หรือรถหวานเย็นบ้านเรา จอดทุกป้าย ตอนขึ้นก็งงเหมือนกันเพราะปกติประตูจะเป็นแบบอัตโนมัติเปิดให้เราเอง แต่นี่ต้องใช้มือง้างเปิดเอาเองครับ คงเพราะว่ามันหนาวแล้ว ขืนเปิดออโตทุกสถานีก็พอดีไอร้อนจากฮีทเตอร์หายหมด ทำให้เปลืองไฟนั่นเอง เข้าใจคิดนะเนี่ย นั่งรถสายนี้ก็เพื่อไปต่อที่เมืองมัทซึโมโตะ ระหว่างทางเนื่องจากเป็นยามเย็นแม้จะเป็นชนบทแต่ก็เริ่มมีคนใช้บริการกันเยอะ ทั้งคนที่กลับจากที่ทำงาน เด็กมัธยมที่เดินทางกลับบ้าน บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาบ้าง ต่างจากตอนที่นั่งรถบัสมาชินะโนะโอมาจิ ที่ทั้งรถเป็นของเรา
เมื่อมาถึงสถานีมัทซึโมะโตะ ก็ลองดูแผนที่บริเวณนั่นดูก็พบว่าใกล้ๆ มีปราสาทมัทซึโมะโตะแต่เวลาจะหาอะไรกินเป็นเรื่องเป็นราวไม่ค่อยมีแล้ว ก็เลยหาอะไรกินกันง่ายๆประทังหิวไปก่อน ระหว่างสาวๆกำลังเข้าห้องน้ำเราก็สำรวจร้านค้าแถวนั้น สะดุดใจกับแอปเปิ้ลที่นี่ เพราะนำมาแปรรูปหลายแบบมากทั้งขนมนู้นขนมนี้ ก็เลยสันนิฐานได้ว่ามันต้องอร่อยแน่ เลยซื้อมาซะห้าร้อยเยน ซึ่งภายหลังแอปเปิ้ลพวกนี้ช่วยเราประทังหิวได้มากเลย แถมอร่อยด้วย กะว่าจะเหมาสักลัง แต่รู้สึกลำบากเวลาขนขึ้นลงเจอาร์กว่าจะถึงบ้านต้า อดซื้อเลย ไม่งั้นนะได้กินแอปเปิ้ลอร่อยๆไม่แพงไปอีกหลายวัน
จากมัทซึโมะโตะพวกเราก็นั่ง Limited Express ชื่อ ชินะโนะ (ที่นี่รถไฟระดับ Express ขึ้นไปส่วนใหญ่มีชื่อเรียกเฉพาะ น่ารักดี) ต่อไปยังเมืองนะกะโนะ ความจริงแล้วจากมัทซึโมะโตะสามารถนั่ง Limited Express อีกเส้นชื่อ อะซุสะ ตรงดิ่งไปชินจูกุได้เลย ไม่ต้องย้อนขึ้นไปนะกะโนะก็ได้ แต่ว่าเพราะความคุ้ม อยากนั่งชินคันเซนกันให้หนำใจ และจะได้สัมผัสกับชินกันหลายรอบเลยไปนะกะโนะก่อน มาถึงนะกะโนะไม่ค่อยมีเวลาแล้ว เลยไม่ออกไปข้างนอกกันถ่ายรูปเล่นข้างในสถานีนั่นแหละ ถ่ายป้ายที่บอกว่านะกะโนะเคยจัดโอลิมปิดฤดูหนาวมาแล้ว ป้ายที่แสดงถึงความเป็นนะกะโนะมาด้วย แต่อ่านไม่ออกหมดเลยไม่รู้ว่าเขาเขียนอะไร คนอื่นๆที่โดยสารชินคันเซนก็มองพวกเราแปลกๆ แต่พวกเราเป็นทัวริสต์นี่หว่า ทำไรไม่ผิดโว้ย อยากตะโกนบอกพวกเขาอย่างนี้ แต่พอมานึกถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถ่ายกับอะไรที่เขานึกว่าแปลก แต่เรานึกว่ามันธรรมดา ก็คงเป็นอารมณ์แบบนี้แหละ
สักพักก็ได้เวลาชินคันเซน อะสะมะ ออกใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงก็ถึงโตเกียว ทั้งที่ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆเลย แต่เพราะความเร็วของมันสองร้อยกว่ากิโลต่อชั่วโมง เลยทำให้ถึงภายในระยะเวลาสองชั่วโมง แต่ว่าตอนนั้นมันมืดแล้ว ประกอบกับคณะจากไทยคงเหนื่อยกันมากเลยไม่ค่อยได้สัมผัสกับบรรยากาศชินคันเซนเท่าไร คงได้แต่สัมผัสความหรูหราภายในชิน ซึ่งที่นั่งก็สไตล์แบบเครื่องบินแต่ที่ว่างที่ขากว้างกว่ากันเยอะ แถมมีหนังสือแคตตะล็อคสินค้าเสียบให้อ่านด้วย แต่ละคนเพลินเลยละซิ แต่ถามหน่อยพวกแกอ่านภาษาญี่ปุ่นออกด้วยเหรอวะ
เมื่อมาถึงโตเกียว พวกเราก็ต่อรถเจอาร์สายยะมะโนะเตะ (เป็นสายวิ่งรอบเมือง เป็นลูปวงกลม) เผื่อจะเก็บห้องต้าที่รอปปองหงิ มาถึงสถานีเอะบิซึ แรกๆก็นึกว่าเป็นสถานีเล็กๆธรรมดา ออกมาปุปคนเพียบเลยครับ เป็นครั้งแรกที่เจอคนเยอะๆในโตเกียว (ความจริงเจอเยอะก่อนหน้านี้ แต่เป็นเส้นทางไปโอมิยะ จังหวัดไซตะมะ คนละจังหวัดกัน) ก็มาต่อใต้ดินถึงย่านรอปปองหงิจนได้ สรุป ตั้งแต่เมื่อคืนเดินทางจากไมฮะมะ ไปโอมิยะ นั่งรถไฟกลางคืนไปโทะยะมะ ตอนเช้าต่อจากโทะยะมะไปทะเทะยะม่า อยู่บนเส้นทางหิมะจนทะลุไปชินะโนะโอมาจิ (จังหวัดนะกะโนะแล้ว) นั่งรถต่อไปมัทซึโมโตะ ต่อไปเมืองนะกะโนะ นั่งชินกับโตเกียว นั่งรถเจอาร์มาเอะบิซึ ต่อใต้ดินมารอปปองหงิ เส้นทางอันแสนไกลกับเวลาแค่สองคืนกับหนึ่งวัน กลับทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่นมานานได้อย่างไรก็ไม่รู้ ตอนนี้กลับมายังจุดเริ่มต้น ณ ห้องต้าเพื่อรอการเดินทางใหม่วันพรุ่งนี้แล้ว เฮ้อ เหนื่อยก็เหนื่อยแต่มันก็มันนะ เป็นความทรงจำหนึ่งของเราเลยนะ
แถมท้ายวันที่สามของทริป พวกเราหาร้านสะดวกกินร้านหนึ่ง เข้าไปกินเพราะว่าเห็นมันว่างดี แรกๆก็นึกว่ามันไม่อร่อย คนเลยน้อย หารู้ไม่ว่าของเขาก็มีดี พอพวกเราเข้าไปแค่นั่นแหละหลังเราเข้ามากันตรึมเลย เลยต้องรีบกินคุยกันมากไม่ได้ เกรงใจร้านมันเล็กเดียวเขาจะเสียโอกาสทางการค้าไป แต่ที่นี่เป็นที่ณีชมว่าโซบะเขาอร่อยโดยเฉพาะน้ำซุป เราก็ว่ามันอร่อยเหมือนกันนะ พอออกมานอกร้านถึงบ้างอ้อ ที่ป้ายมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นร้านที่ขึ้นชื่อทางด้านโซบะนี่ มิน่าเลยอร่อย สุดท้ายพวกเราก็ไปสลบกันหอต้า เพื่อเริ่มการเดินทางใหม่ในวันรุ่งขึ้น

Trip Japan Nov. 19-28, 2006 – Tokyo Episode(2)


Day 2 (Nov. 20)
วันนี้เริ่มทริปด้วยการตามล่าหาซูชิอร่อย ราคาไม่แพงที่ตลาดปลาซึกิจิ ตลาดปลาขายส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นนะครับ มันระดับโลกเลย เลยทำให้หลงกันตั้งแต่เช้าเลย คือเข้าผิดทางทำให้เดินเข้าไปในตัวตลาดขายส่งเลย ซึ่งตามที่ฟังคนอื่นเล่ามา ตรงทางเข้าก็เจอร้านซูชิเยอะแล้ว ก็เลยงง แถมข้างในเกือบเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว เพราะบรรยากาศภายในตลาด เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และรถที่เขาใช้ส่งปลากัน เฮ้อ ไม่น่าเข้าผิดทางเลย แล้วตอนขาออกเลยออกอีกทาง ก็เลยเจอร้านน่ากินเพียบ ก็เลยเลือกร้านที่ดูน่ากินร้านหนึ่ง แถมพ่อครัวยังพูดภาษาอังกฤษได้อีก พอเดินเข้าไปในร้านก็เลยเห็นหัวทองเต็มร้านเลย พวกเราด้วยความไม่หิวเพราะยังเช้า หรือแพงก็ไม่รู้เลยสั่งชุดแนะนำ (ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าโอซุซุเมะ) มาชุดเดียวกินด้วยกัน แล้วก็ชุดเล็กๆอีกหน่อย แล้วก็สั่งแบบกล่องกะเอาไปกินตอนเที่ยง เพราะว่าแบบกล่องถูกกว่ากินในร้าน พวกเราก็สั่งชุดปานกลาง แต่เขาดันคิดราคาเป็นชุดเล็ก พวกเราก็นึกว่าสื่อสารผิดพลาดเขาเลยทำชุดเล็กมาให้ มารู้ที่หลังว่าเขาคิดราคาผิด ความจริงเขาทำมาให้เป็นชุดกลางถูกแล้วตามที่พวกเราสั่ง ฮะๆ ไม่ได้ตั้งใจโกงเขานะ ถ้าเจอตั้งแต่ในร้านก็จะบอกให้เขาคิดราคาใหม่แล้ว หลังจากนั้นด้วยความบังเอิญเห็นตึกมันสวย ก็นึกว่าเป็นมหาวิทยาลัยมุซาชิโนะ (เป็นมหาลัยที่ปรากฏในเรื่อง April Story ที่ Matsu Takako แสดงไปหาดูเอาได้ในไทย) เพราะเห็นป้ายโฆษณามหาลัยติดอยู่ด้านหน้า ความจริงแล้วเป็นวัดไทย แต่ด้านหน้าให้เช่าติดป้ายโฆษณา ก็ทำให้พวกเราได้ที่ถ่ายรูปเพิ่มนอกโปรแกรม ภายในนึกว่าเป็นโบสถ์คริสต์ สวยมากๆ มาอ่านแผ่นพับแนะนำถึงได้รู้ว่าเป็นวัดพุทธนี่แหละ ตอนนั้นกำลังมีคนมาขอให้ทางวัดทำพิธีอะไรอยู่ไม่รู้ คณะจากไทยก็ผสมโรงนั่งดูไปด้วย ตอนหลังอยากออก แต่ด้วยธรรมเนียมไทย ไม่ควรลุกออกไปพร่ำเพรื่อตอนมีพิธีการ เราก็เลยบอกไปว่าออกได้ เขาไม่ได้ห้าม ก็เลยออกมา อ้อ ลืมบอกไปว่าวันนี้ก็เป็นอีกวันที่รูปถ่ายพวกเราเต็มไปด้วยร่ม (โปรดติดตามต่อไป จะทราบว่าร่มราคาสามร้อยเยนนี้คุ้มมาก เพราะใช้มันตลอดทั้งทริป โชคดีจริงๆ ก่อนหน้านี้ฝนไม่ตก พอวันเครื่องลง ตกทันทีเลย ฮา)
เนื่องจากไฮไลต์อย่างหนึ่งของทริปนี้ก็คือ ทะเทะยะมา คุโรเบะ อัลไพล์ รูต (Tateyama Kurobe Alpine Route) ซึ่งเป็นเส้นทางหิมะอยู่จังหวัดโทยาม่าเชื่อมมาทางจังหวัดนะกะโนะ ไกลจากโตเกียวและเกียวโตมาก แล้วก่อนหน้านี้อากาศที่นั่นสามวันดีสี่วันไข้ บางวันมีพายุหิมะ ทำให้เส้นทางปิด ก็เลยต้องมีการเช็คอากาศแบบวันต่อวัน แล้วพยากรณ์อากาศญี่ปุ่นก็แม่นมาก (ไม่เชื่อถามคณะจากไทยดู) พยากรณ์ว่าวันพรุ่งนี้หรือวันที่สามของทริปอากาศจะดีที่สุดในรอบอาทิตย์ พวกเราก็ตัดสินใจว่าจะไปกันวันพรุ่งนี้เลย ดังนั้นหลังจากไปตลาดซึกิจิ ก็เลยแวะสถานีโตเกียวไปจองตั๋วก่อน เพราะถ้าพลาดไม่มีที่นั่งกลับจากนะกะโนะ อาจจะได้นอนนะกะโนะเล่นหนึ่งคืน พอจองตั๋วเสร็จครับ ฝนหยุดตก (ตามพยากรณ์อากาศแปะ ว่าวันนี้ช่วงกลางวันฝนจะหยุดตก) เลยได้โอกาสถ่ายรูปกับสถานีโตเกียว ซึ่งกำลังบูรณะอยู่ แต่ก็เหลือโซนด้านหน้า ที่ถ่ายรูปกับตึกสวยๆ สถาปัตย์กรรมเก่าๆ ขลังดี ตอนนั้นรู้สึกอารมณ์ทุกคนดีขึ้นมากเพราะไม่ต้องกางร่มถ่ายรูปกันแล้วมั่ง
หลังจากนั้นก็ตามโปรแกรมคือ อะกิฮะบะร่า หรือชื่อเล่น อะคิบะ นั่นเอง แหล่งชอบปิ้งเครื่องใช้ไฟฟ้า และร้านเมต (Mate Café) แต่ไม่มีใครสนใจก็เลยเดินแต่ร้านค้าย่อยกลับ ห้างโยโดบาชิ ที่ขายมันแทบจะทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า (สินค้าหลักของห้าง) จนถึงของเล่นเด็ก ซึ่งก่อนเดินในห้างก็หิวแล้วครับ เพราะเดินร้านค้าย่อยมาก่อนแล้ว ก็เลยหาอะไรกินง่ายๆถูกๆ ณีก็บอกว่าอยากกินพวกร้านฟาสต์ฟู้ดญี่ปุ่น ก็ประมาณร้านข้าวแกงแฟรนไชบ้านเรา ก็เลยลองเดินหาพวกร้านที่อยู่รอบๆห้าง เจอร้านชิโนะมิยะ ซึ่งที่นี่ ที่ลองสังเกตดูก็มีสามร้านแฟรนไชดังอยู่สามร้าน ก็คือ ชิโนะมิยะ ซุกิยะ แล้วก็มัทซึยะ ก็ว่างานนี้จะลองให้ครบมันทั้งสามร้าน เพราะมันถูกแล้วก็เร็วดี จะได้เอาเวลาไปเดินเล่น ดังนั้นมื้อเที่ยงวันนี้ก็ได้กินเป็นข้าวหน้าเนื้อ แต่เสาร์กินอย่างอื่น เพราะกินเนื้อไม่ได้ (แต่ถ้ามาเรียนที่นี่ ไม่กินเนื้อไม่ได้ เพราะอาหารที่นี้เลี่ยงเนื้อไม่ได้ ยิ่งเวลาไปกินกับคนอื่นที่ต้องจ่ายเป็นรายหัว จะไม่คุ้มเพราะ ที่มันแพงเพราะเนื้อนั่นเอง ส่วนเรากินได้หมดเลยรอดตัวไป) หลังจากกินก็เดินเล่นในโยโดบาชิ ได้ของเล่น ซึ่งกะซื้อไปเป็นของฝากเด็กๆ แต่วิทได้ของเล่นเป็นของฝากของตัวเองไป (อ้าว) จนได้เวลาต้องกลับไปเตรียมของไปทะเทะยะมาแล้ว เพราะคืนนี้กะเข้าดิสนีย์แลนด์จนมันปิดตอนสี่ทุ่มเลย แล้วก็เดินทางต่อไปทะเทะยะม่าทันที ดังนั้นต้องเตรียมของกันก่อน
เมื่อมาถึงดิสนีย์แลนด์ฝนก็ดันตกพร่ำๆลงมาอีกแล้ว ทำให้กังวลว่าพาเหรดคืนนี้จะมีหรือเปล่า (การเข้าดิสนีย์รอบกลางคืน มีจุตประสงค์หลักคือดูพาเหรด) เลยเสียเวลาส่งภาษากันนาน กว่าจะได้เจ้าหน้าที่สาวใจดี ที่พูดภาษาอังกฤษได้มาคุยได้ความว่า ตอนนั้น (หกโมงกว่า) เขาไม่รู้หรอกว่าพาเหรดตอนทุ่มครึ่งจะมีหรือเปล่า แต่ถ้าก่อนสามสิบนาทีจะมีการประกาศคอนเฟิร์มก่อน สรุปพวกเราก็เสี่ยงดวงเข้าไปตอนนั้นเลย เพราะคิดว่าฝนไม่น่าตกหนักมากกว่านั้นจนพาเหรดงด พอเข้ามาได้ แล้วก็ถ่ายรูปกันนิดหน่อย ก็เริ่มหิว ก็เลยควักซูชิที่ซื้อมาตั้งแต่เช้าที่ตลาดซึกิจิมากิน ตอนนั้นก็เลยบอกไปว่า ไม่มั่นใจว่ามันยังดีอยู่หรือเปล่า ถ้าอันนั้นไม่น่าไว้วางใจก็อย่ากินดีกว่าเดียวจะท้องเสีย ไม่คุ้มเอาเปล่าๆ แต่คงเพราะความสดของเครื่องปรุงและ ความเย็นของอากาศสรุปทุกคนก็อยู่ดีตลอดทางทะเทะยะม่า แหม่ของเขาสดจริงๆ แถมทำตั้งแต่เช้ามากินซะค่ำก็ยังอร่อย สบายท้องไปมื้อนั้น
หลังจากกินก็มาถึงไฮไลต์ของวันคือ พาเหรดดิสนีย์ ตอนกินเสร็จคนก็มารอดู จับจองที่ดีๆไปหมดแล้ว พวกเราเลยเดินขึ้นไปต้นทางเรื่อยๆ (พาเหรดดิสนีย์เดินเป็นระยะทางไกลเหมือนกัน เลยมีจุดที่ดูได้อยู่เยอะ แถมวันนี้คนรู้อยู่แล้วว่าฝนตก เลยยังมีที่ให้พวกเรา) ด้วยความมั่ว หรือโชคดีก็ไม่รู้ทำให้ได้ที่ดีมากทั้งๆที่เดินเข้าไปสายมาก เป็นจุดถ่ายรูปเลย มีฉากหลังเป็นปราสาทดิสนีย์ด้วย ฟลุ้คจริงๆ คนเขาคงมาดูพาเหรดที่ตรงนั้นเลยว่าง ไม่เหมือนพวกเรามาถ่ายรูปกันซะเยอะๆเลย (ฮา) หลังจากดูพาเหรดเสร็จก็ได้เล่นเครื่องเล่นบางอัน มีอยู่อันหนึ่งเห็นคนเดินเข้าไปกันเยอะก็นึกว่าน่าสนใจก็เลยเดินตามเข้าไป ปรากฏว่าเป็นเครื่องเล่นหวาดเสียว ประมาณโรลเลอครอสเตอร์ที่ไปตามเมืองสมัยบุกเบิกอเมริกา สุปราณีก็เลยได้หลับตาไปตลอดทาง เพราะไม่ถูกกับเครื่องเล่นสไตล์นี้
ก่อนออกก็ได้ถ่ายรูปกับปราสาทตอนกลางคืน สวยไปอีกแบบ (สำหรับเรา เราชอบจุดนี้ที่สุดเลยนะ ทำให้อยากมารอบกลางคืนมากกว่ากลางวัน) แล้วก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าสายแล้วเดียวตกรถไฟที่จะไปจังหวัดโทยะมะจุดเริ่มต้นเส้นทางหิมะ ซึ่งพวกเราต้องไปต่อรถที่สถานีโอมิยะ จังหวัดไซตามะ (ถ้านึกไม่ออก ก็ให้นึกถึงชินจัง เพราะชินจังอยู่ไซตามะ) ทั้งๆที่รถไฟสายโนโตะ (ที่นี่มีชื่อเฉพาะเรียกรถไฟหลายสาย ไม่เรียกเหมือนบ้านเราว่าเป็นรถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่) เริ่มต้นสายที่สถานีโตเกียว แต่เนื่องจากคณะจากไทยเริ่มใช้เจอาร์เรลพาส (ตั๋วเหมาเจ็ดวันใช้เจอาร์ได้หมด ชินคันเซนก็ได้ แต่ยกเว้นชินคันเซนสายโนโซมิ ซึ่งเร็วที่สุดในญี่ปุ่น) ตั้งแต่วันที่ยี่สิบเอ็ด ก็เลยต้องไปขึ้นที่โอมิยะตอนศุนย์นาฬิกาหนึ่งนาที ประมาณว่าพอข้ามวันปุปใช้ปั๊ป อะไรจะคุ้มปานนั้น เพราะฉะนั้นจากสถานีไมฮะมะ จังหวัดชิบะ ที่ที่ดิสนีย์แลดน์โตเกียวตั้งอยู่ ไปโอมิยะก็หวาดเสียวอยู่เหมือนกันว่าจะไม่ทัน(ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ให้วาดภาพว่า ชิบะอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ของโตเกียว ส่วนไซตามะอยู่ค่อนไปทางเหนือ) เลยต้องเปลี่ยนแผนจากการนั่งรถไฟใต้ดินไปอุเอโนะ เปลี่ยนไปต่อเจอาร์เร็วขึ้น จากตอนแรกกะนั่งเจอาร์ที่อุเอโนะให้ทันรอบสิบเอ็ดยี่สิบหกนาที ก็ต้องเปลี่ยนมานั่งเจอาร์ตั้งแต่สถานียุระคุโชะ ซี่งเป็นสถานีก่อนหน้าสถานีโตเกียวสถานีหนึ่ง (ให้วาดภาพไล่จากยุระคุโชะ ขึ้นไปก็เป็นสถานีโตเกียว แล้วก็อีกสี่สถานีขึ้นไปถึงจะเป็นอุเอโนะ) ก็เลยงงไปพักหนึ่งว่าต้องซื้อตั๋วราคาเท่าไร เพราะตอนเช็คจากเน็ตก่อนหน้านั้น ตั้งเงื่อนไขว่าจะขึ้นเจอาร์จากอุเอโนะไปโอมิยะ แล้วตอนนั้นก็รีบๆ ก็เลยซื้อตั๋วราคาถูกไว้ก่อน แล้วขาออกค่อยไปปรับราคาตั๋ว คิดได้อย่างนั้นก็รีบขึ้นรถเจอาร์สายเคย์ฮินโทโฮะคุเที่ยวแรกสุดทันที่ แต่ตอนที่ผ่านสถานีอุเอโนะก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วนะว่าจะไม่ตกรถเพราะเวลาวิกฤติอยู่ที่สิบเอ็ดโมงยี่สิบหกนาที (เช็คมาจากในเน็ต เวลาเดินทางจากอุเอโนะไปโอมิยะมันแค่ยี่สิบเอ็ดนาที) แต่รถคันที่เรานั่งไปผ่านอุเอะโนะตอนสิบเจ็ดนาที กะว่าไปถึงตอนสามสิบแปดนาที โฮะๆสบายๆแล้ว ไม่ตกรถแน่ และแล้วเหตุการณ์ก็พลิกผัน เพราะเวลาที่เช็คมาจากเน็ตมันผิด ทำไมกลายเป็นใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมงแทนก็ไม่รู้ ตอนนั้นงงเลย เดียวก็ต้องไปปรับตั๋วอีกจะทันไหมเนี่ย เริ่มทำใจได้กลับไปนอนห้องต้าอีกคืนแน่ พอถึงสถานีโอมิยะ น้านนเป็นสถานีใหญ่อีก แล้วตูจะหาชานชลาที่โนโตะจอดอยู่เจอไหมเนี่ย แล้วสถาณการณ์ก็เริ่มคลี่คลายเพราะว่าเดินไปถามเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่าไม่ต้องออกจากสถานี ก็ไม่ต้องเสียเวลาปรับตั๋ว (ฮะๆ กลายเป็นจ่ายถูกไปเลย) แถมขึ้นชานชลาที่แปดซึ่งอยู่ไม่ไกล (สถานีเจอาร์ในญี่ปุ่นบางครั้งต้องมีการเข้าออกสถานีซ้อนกัน เช่น จะใช้ชินคันเซนก็ต้องผ่านช่องธรรมดามาก่อนรอบหนึ่ง แล้วก็ต้องผ่านช่องพิเศษของชินมันเองอีกรอบหนึ่ง ก็กลัวว่าจะต้องเสียเวลาปรับตั๋วเผื่อเข้าชานชลาของโนโตะ แต่ปรากฏว่าใช้ชานชลาธรรมดาใกล้ๆกัน)ไม่มั่นใจว่าจำชานชลาถูกหรือเปล่า เพราะขึ้นเจอาร์บ่อยมาก พอลงไปตัวชานชลาโผล่มาต้องตู้หลังๆ แต่ตู้ที่จองไว้เป็นตู้ที่สอง ก็เลยต้องเดินเข้าไปในรถก่อน เพราะกลัวตกรถ ตอนนั้นเวลาใกล้เวลาออกมากแล้ว และแล้วพอเข้าไปในรถได้สักพักรถก็ออก เฮ้อตกลงไฮไลต์วันนี้ไม่ใช่พาเหรดดิสนีย์เสียแล้ว กลายเป็นการมาขึ้นรถไฟสายโนโตะ ที่สถานีโอมิยะ จังหวัดไซตามะให้ทันเวลาเที่ยงคืนหนึ่งนาทีให้ทัน (ก็ยังดีที่ทัน สรุปรถทุกคันที่นั่งมาจากไมฮามะ ตกลงเป็นขบวนสุดท้ายทั้งหมดที่ทำให้ทัน แต่ความจริงถ้ารู้ว่าไม่ต้องออกไปปรับตั๋วนะ ซื้อตั๋วราคาต่ำสุดนั่งจากไมฮามะเข้าสถานีโตเกียวแล้วเปลี่ยนสายเจอาร์ไปโอมิยะต่อแล้ว ไม่ต้องเสียเวลามาต่อใต้ดิน แล้วกลับมาเจอาร์อีกรอบหรอก ประมาณว่าไม่อยากโกงเจอาร์อะ ก็เลยคิดแผนนี้ไม่ออกตั้งแต่แรก เลยต้องทำให้ลุ้นกันทุกคนเลย โฮะๆ)

Wednesday, December 13, 2006

Trip Japan Nov. 19-28, 2006 – Tokyo Episode(1)





ผมยกบล็อก การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นจากการเขียนบันทึกการเดินทาง ของพี่ฉั่วให้เพื่อนๆอ่านนะครับ ประหยัดแรงของวิทเยอะเลย อ่านแล้วรู้สึกดีจัง
Adisak Chalermthanakom
606-8255 Japan, Kyoto
Sakyo-ku, Kita-Shirakawa
Nishi-Senoushi 43
Kawata Apartment



Trip Japan Nov. 19-28, 2006 – Tokyo Episode

Day 1 (Nov.19)
วันแรกของการเดินทาง เสาร์ วิท นุ้ย นี เดินทางจากสุวรรณภูมิ มาถึงสนามบินนานาชาตินาริตะประมาณเจ็ดโมงเช้า แต่ใครจะรู้เล่าว่า คนที่นั่งชินมาถึงโตเกียวเวลาเก้าโมงกว่าๆ จะมาถึงที่นัดพบสถานีเคย์เซย์อุเอโนะ (สถานีอุเอโนะมีหลายเจ้า เลยต้องเรียกชื่อสายรถไฟด้วย) ก่อนคณะจากไทยเป็นชั่วโมง สำรวจได้ว่าเกิดอาการหลงสนามบินนาริตะ และผ่านขั้นตอนมากมายกว่าจะได้ขึ้นรถไฟออกมาจากสนามบินนาริตะ แถมเกือบตกรถไฟอีกต่างหากทั้งๆที่อยู่ตรงชานชลาของเคย์เซย์แล้ว เพราะดันเหลือบไปเห็นชานชลาของเจอาร์อยู่ตรงหน้า เลยต้องวิ่งไปสำรวจ ซึ่งความจริงแล้วรางรถไฟของทั้งสองเจ้าติดกันเลย มองทะลุเห็นกันหมด แต่เวลาลงไปที่ชานชลาจะต้องผ่านสถานีบนดินก่อน ซึ่งแยกกันชัดเจนอยู่แล้ว (กลัวไปได้)
และแล้วก็ได้เจอกันจนได้ตอนสิบโมงกว่าและก็เริ่มการเดิน ไม่ใช่การเดินทางนะครับ เดินคือเดินจริงๆ เพราะเวลาเขาเขียนในหนังสือไกด์ทัวร์ ว่าสถานีที่เชื่อมถึงกันในแต่ละย่านนั้น เขาไม่ได้บอกว่ามันไกลกันเท่าไร อย่างเช่น จากเคย์เซย์อุเอโนะ ไปใต้ดินสายแฮปปี้สถานีอุเอโนะ (ชื่อจริงๆคือ ฮิบิย่า แต่เนื่องจากวิทจำชื่อภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แล้วชื่อย่อของสายนี้คือ เฮช วิทจึงจำง่ายๆเป็น แฮปปี้) ก็อยู่ใกล้กันมากจริงๆ (ประชด) แถมบางช่วงต้องยกกระเป๋าขึ้นลงบันไดหลายขั้น เพราะไม่มีบันไดเลื่อนแถมกระเป๋าแต่ละคนก็สิบกว่าโลทั้งนั้น กะมาอยู่ญี่ปุ่นถาวรรึไหงคร้าบ
วันแรกและวันที่สองตัดสินใจกันว่าจะนั่งใต้ดินเพราะบ้านต้า เพื่อนนี ผู้แสนดีผู้ให้พวกเราพักโดยไม่คิดตังค์ทำให้ประหยัดไปได้คืนละคนละสองพันกว่าเยน แถมห้องพักก็สุดยอด เป็นแมนชั่นสุดหรูย่านรอปปองหงิ กลางเมืองโตเกียว สอบถามมาได้ว่าค่าเช่าเดือนละห้าแสนเยน (ฮ่าๆๆๆ ได้ทุนสามเดือนเพิ่งได้ค่าเช่าเดือนเดียว) เมื่อถึงที่ห้องก็จัดแจงวางของ แล้วก็เริ่มหิว เพราะคณะจากไทยไม่ได้กินข้าวเช้า ส่วนคนอยู่นี่กินมาตอนตีห้าก่อนนั่งชิน ก็ออกไปกินราเมงร้านที่ต้าแนะนำ ใครอยากกินราเมงอร่อยย่านรอปปองหงิ ถามเสาร์วิทนุ้ยนีได้นะ ถ้าพวกนั่นไม่ลืมเสียก่อน แล้วก็ไปซื้อร่มกันเพราะพยากรณ์ญี่ปุ่นบอกว่าฝนจะตก อุณหภูมิจะอยู่ระดับสิบองศา และแล้วก็เริ่มออกเดินทางไปวัดอะซะคุสะ วัดยอดฮิตของคนไทย งานนี้กางแผนที่เอาเลยครับ เดินเข้าประตูสายฟ้า ผ่านย่านขายของที่ระลึก รมควันธูป เข้าไปขอพรข้างในด้วยการโยนเหรียญห้าเยน ถ่ายรูปกับเจดีย์ห้าชั้นเป็นอันเสร็จพิธี แต่อากาศเป็นไปตามพยากรณ์มาก คือไม่เป็นใจให้พวกเราเลย ฝนตก แสงน้อย รูปออกมาก็หน้าดำไปตามระเบียบ อ้อ มีอยู่รูปหนึ่งที่หน้าสว่าง ด้วยกล้องวิท แต่เป็นฝีมือการถ่ายของฝรั่งมือโปรที่มาเที่ยวเหมือนกัน สรุป ฝีมือพวกเราไม่ถึงขั้น (ฮ่าๆๆ)
เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ คณะจากไทยอยากเห็นความหลุดโลกที่ฮาราจูกุ อยากเดินชิบุย่า ชอปที่ชินจูกุ ก็เลยนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีโอโมะเตะซันโดะ ชื่อยาวไปนิดแต่เป็นถนนที่สวยมากสายหนึ่งของโตเกียว เพราะมีต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง และตึกแบรนแนมสองข้างทาง แต่ แต่ ฝนตก แต่ละคนก็เลยไม่ได้ค่อยชื่นชมกับความงดงามเท่าไร แถมอากาศก็หนาว น้ำก็เข้ารองเท้า เลยเข้าไปหลบในโอโมะเตะซันโดะ ฮิล ซึ่งเพิ่งเปิดเมื่อปีนี้ เป็นห้างสูงหกชั้น แต่มองจากด้านนอกเป็นแค่ตึกสามชั้น อีกสามชั้นเป็นใต้ดิน ลักษณะภายในทำเป็นทางลาดเดินถึงกันหมดหกชั้นโดยไม่ต้องใช้บันไดเลื่อน (ไอเดียดี ให้ความรู้สึกเดินชอปไปตามถนนอันยาวไกลเรื่อยๆ ทั้งที่อยู่ในตึก) ตรงกลางเจาะให้โล่ง เป็นบันไดยาวมาจากชั้นใต้ดินสามขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนั้นกำลังมีการแสดงดนตรีแจ๊สอยู่ด้วย แต่หูไม่ถึงก็ได้แต่ฟังผ่านๆ สุดท้ายก็ไม่มีใครชอปเพราะว่าของมันแพงตามค่าครองชีพญี่ปุ่น ก็เลยถ่ายรูปเล่นกันข้างใน แล้วก็ออกมาเดินไปฮาราจูกุต่อ แถมถูกป้ายหลอก คือประมาณว่าเดินตามซอยเล็กๆก็ไปถึงฮาราจูกุได้ แต่ไม่ค่อยมีผู้คนเดิน แถมร้านก็น้อย ก็เลยต้องเดินย้อนออกมาถนนใหญ่อีกที และแล้วก็เดินถึงสถานีฮาราจูกุ ปากทางเข้าย่านหลุดโลก แต่ แต่ พวกเราไม่ไหวกันแล้ว ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง ฝนที่ตกเอา ตกเอาแม้ไม่หนัก แต่ก็สร้างความหนาวระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อน (มาเช็คที่หลังถึงได้รู้ว่าตอนนั้นประมาณเก้าองศา แล้วสำหรับคนที่เพิ่งมาจากไทยอุณหภูมิประมาณสามสิบสององศา เจออย่างนั้นเข้าไปก็เลยไม่รอด) ก็เลยตัดสินใจโทรกลับไปหาต้าที่ห้อง(ไม่มีกุญแจเข้าห้องอะ) แล้วก็เหมือนฟ้าประทานต้ากลับมาก่อนเวลา (ตอนนั้นประมาณห้าโมงเย็นแต่มืดเหมือนสองทุ่มบ้านเรา) ก็เลยกลับรอปปองหงิกันดีกว่า กลับมาถึงระหว่างทางเดินเข้าแมนชั่นต้า สายตาก็เหลือบไปเห็น ไซซิริยะ เป็นแฟมิลี่เรสเตอรอง ขายอาหารอิตาลี (ความจริง ก็พวกพาสต้า พิซซ่านั่นแหละ เรียกให้หรูไว้ก่อน) เคยกินมาแล้วที่เกียวโต ราคาก็ไม่แพง ก็เลยลองถามคณะจากไทยว่ากินเปล่า ก็เลยสรุปกันได้ว่ามื้อที่สองในญี่ปุ่นกลายเป็นอาหารอิตาลีไป (แป่ว) กินเสร็จ ระหว่างคุยเล่นกัน (ในร้านมันอุ่น เลยมีอารมณ์นั่งคุยกัน) ณีหลับไปเมื่อไรไม่รู้ก็เลยกลับห้องต้ากัน ได้อยู่ในห้องอุ่นๆ อาบน้ำอุ่นกัน แต่ละคนค่อยสดชื่นกันหน่อย พรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่