Sunday, November 25, 2007

Remembrance of things lost


Remembrance of things lost เป็นหนังสือเล่มสุดท้ายที่พระเอก มอบให้นางที่เป็นรักแรก ในหนังเรื่อง Love letter หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมดูมากกว่า 5 รอบ ทุกครั้งที่ได้ดูหนังเรื่องนี้มักทำให้ผมมีความสุขเสมอ


ผมไม่ยากเล่าพลอตเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ อยากให้คนที่สนใจลองไปหามาดู( http://www.popcornfor2.com/movies/012_sept_loveletter.html) แต่สิ่งที่ผมชอบ คือ ในชีวิตของคนเราในแต่ละช่วงวัย เรามักจะมีคำถามที่เป้นปมอยู่ในใจเสมอ เช่น ในช่วงม.ต้น ผมอยากถามผู้หญิงคนนึ่งที่เป็นรักแรกของผมว่าช่วงเวลาที่ผมมีความรุ้สึกที่ดีกับเธอ เธอรู้สึกเช่นไร และเธอมีความสุขแค่ใหนในสิ่งต่างๆที่ผมได้ทำให้เธอ แม้ว่ามานจะเป็นแค่ช่วงเวลาที่แสนสั้นก็ตาม


เหตุนี้เองที่ผมชอบหนังเรื่องนี้เพราะหนังได้ให้คำตอบในใจผม โดยผ่านการเล่าเรื่องของผู้หญิงสองคน การเล่าเรื่องทำให้คำถามในใจของคนทั้งสองได้รับการเปิดเผย ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามแต่ไม่จำเป็นตอ้งครอบครอง ผมแอบอิจฉาที่ตัวละครทั้งสองคนได้รับคำตอบอันนั้น


ผมยังแอบนึกสนุกที่คิดว่า วันนึ่งเมื่อผมมีคนรักที่คิดจะแต่งงานด้วย การได้เขียนจดหมายหาเพื่อนเก่าของผู้หญิงคนนี้ เพื่อฟังเรื่องราวในอดีตของเธอ คงเป็นเรื่องน่าสนุกและน่าตื่นเต้นเอามากๆ


ผมชอบมุมมองความคิดของหนังเรื่องนี้โดยสื่อในรูปจดหมาย โดยส่วนตัวผมเป้นคนที่ชอบเขียนจดหมายและส่งโพสการ์ดหาคนในครอบครัวและเพื่อนที่สนิทอยู่เสมอ ผมคิดว่าการเขียนจดหมายเป้นการสื่อสารที่คลาสสิค แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการสื่อสารทีทันสมัยหลายรูปแบบแล้วก้อตาม


Remembrance of things lost หรือ ความทรงจำถึงสิ่งที่สุญไป อาจจะชัดเจนยิ้งขึ้นถ้าคนเราคิดที่จะสื่อสารและแสดงถึงความรู้สึกของตัวเองออกไป การสื่อสารของคนเราจึงมีความสำคัญในแบบนี้นี่เอง

Tuesday, November 20, 2007

สวยงามที่น้ำใจ


ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมชีพจรลงเท้า คือ เดินทางท่องเที่ยวไปเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน และเดินทางไปเมืองกาญจน์เพื่อไปงานบวชพี่ต้นเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมสนิทการเดินทางในสองทริปมีบางอย่างที่ทำให้ผมประทับใจมาก คือ การได้รับน้ำใจและการเป็นผู้แสดงความมีน้ำใจต่อเพื่อนรุ่นพี่


หลายครั้งที่ผมที่ผมมักได้ยินหลายคนพูดว่า ความงามของคนเกิดจากคนๆนั้นเป็นคนที่มีน้ำใจมากกว่ารูปร่างหน้าตา ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าคำๆนี้จะเป็นจริง จนผมได้รับน้ำใจจากเพื่อนที่เป็นนายทหารที่เชียงใหม่ ที่คอยต้อนรับขับสู้กลุ่มพวกผมเป็นอย่างดี แต่สิ่งสวยงามคือ น้องของเพื่อนเทคแคร์เราดีมากผมประทับใจมาก ถ้าพูดถึงรูปร่างน่าตาน้องเค้าก็เป็นผู้หญิงน่าตาธรรมดา แต่น้ำใจและกริยามารยาทที่ดี ก็ทามให้ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่สวยงามจัง สวยกว่าผู้หญิงที่รูปร่างน่าตาดีแต่ไร้ซึ่งมารยาทและน้ำใจ


ส่วนการแสดงน้ำใจ ผมมีความสุขที่ได้แสดงน้ำใจโดยไปร่วมงานบวชของพี่ต้น การเป็นเพื่อนมันมากกว่าการเที่ยวเตร่ คุยกันถูกคอ แต่ผมชอบที่แสดงให้เห็นว่า เราเป็นเพื่อนกันจริงๆและร่วมทุกข์ร่วมสุข ผมว่าพี่ต้นคงดีใจมากที่เห็นพวกเราพร้อมหน้าพร้อมตา ความสุขของการมีเพื่อนคงเป็นแบบนี้เอง เป็นความสุขที่ได้รับน้ำใจจากเพื่อนและความสุขจากการแบ่งปันน้ำใจให้กับเพื่อน


ความน่ารักของคนคงไม่ใช่แค่รูปร่างน่าตาดี แต่สำหรับผมคนที่จะสวยงามได้คงจะต้องมีน้ำใจเป็นพื้นฐานเพราะความน่ารักตรงนี้จะยืนนานและคงอยู่ตลอดไป

Saturday, November 03, 2007

รักตัวเอง


ผมคิดที่จะเขียนเรื่องนี้นานแล้วนะครับ เพราะหลายครั้งผมได้คุยกับเพื่อน รุ่นพี่หรือรุ่นน้อง หลายคนมีปัญหาที่รักทุกคนได้ในโลกนี้ แต่ไม่เคยรักตัเองเลย การตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องนี้ เกิดจากที่ผมเข้าไปอ่าน สเปซของรุ่นน้อง รวมถึงการพูดคุยกับเจ้ เรื่องเพื่อนที่อกหัก น่าเสียใจที่เค้าคิดว่าตัวเองรู้จักความรัก กับแค่รักตัวเองยังไม่เคยรักเลยแล้วแบบนี้จะรักคนอื่นได้หรือ?


รุ่นน้องของผมไปหลงรักผู้ชายคนนึ่ง ซึ่งผมมองเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับรุ่นน้องเลย แต่รุ่นน้องก้อไม่ละความพยายาม โทรหาเช้าเย็น จนถึงวันนึ่งเมื่อผู้ชายคนนี้พูดตรงๆ ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับรุ่นน้องของผม เธอเจ็บมาก และย้ำคิดย้ำทำกับเรื่องความรักครั้งนี้ เช่นเขียนในบล็อกว่าลืมผู้ชายคนนี้ได้แล้วบ้าง แต่เมื่ออ่านข้อความข้างในก้อเห็นถึงความเจ็บปวดที่ยังเกิดขึ้น ทามไมจริงๆจึงลืมผู้ชายคนนี้ไม่ได้ซักที


ส่วนเพื่อนของเจ้ ความรักที่ไม่สมหวังเกิดจากที่แฟนของเค้า กลับไปจีบผู้หญิงที่เค้าเคยรักเมื่อในอดีต เจ้สรุปว่าผู้ชายไม่ดี แต่ผมเห็นต่างกัน ผมมองว่า ผู้หญิงผู้ชายคู่นี้ต่างกันเกินไป ผู้หญิงรวยมากระดับเศรษฐีทีเดียว ส่วนผู้ชายเป็นคนเดินดินธรรมดาคนนึ่ง แต่จริงสิ่งนี้ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าผู้หญิงมีความคิดที่โตกว่านี้ อีกทั้งบ้านผู้หญิงคนนี้ก้อไม่ยอมรับผู้ชาย แต่อุปสรรคก้อเป็นการพิสูจน์รักแท้ แต่ผมมองว่า ผู้ชายคงรู้และประเมินตัวเองตั้งแต่ต้น ว่าคงเป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้เฝ้าโทรไปง้อเพื่อขอคืนดี พยายามให้ผู้ชายกลับมา แต่ไม่พยายามที่จะมองโลกให้ตัวเองมีความสุข


ผมไม่อยากสรุปว่า สาวน้อยทั้งสองคนควรทำเช่นไร แต่ทั้งสองคน ลืมรักตัวเอง และพยายามที่จะหาความรักจากสิ่งภายนอกและจากคนอื่นซึ่งในท้ายที่สุดคนที่เจ็บปวดที่สุดก้อคือตัวเอง เพราะไม่มีใครหรอกที่จะให้ความรักเราได้ตลอดเวลา นอกจากตัวเรา ถ้าถามว่าปัญหาแบบนี้เกิดกับผม ผมจะทำเช่นไร เริ่มต้นผมคงรักคู่รักหรือรักคนที่ผมจะจีบด้วยความรักที่รัก ก้อคือรักเค้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเค้าโดยไม่หวังว่า ในท้ายที่สุดเค้าจะรักผมหรือเปล่า ถ้าผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วเค้ายังไม่รักผม ผมก็คงต้องคิดอีกในมุมนึ่งว่า การที่ไปวุ่นวายกับชีวิตเค้ามากเกินไปเค้าจะเบื่อมั้ย ทุกคนย่อมต้องการความเป็นส่วนตัว ควรคิดว่าการที่เราทามอะไรให้เค้าเค้าอาจไม่ต้องการก็ได้ นั้นย่อมทำให้การที่เรา เข้าไปพยายามทำโน่นทำนี่กลับเป็นการรบกวนมากกว่า ที่จะทามให้เค้าประทับใจ


ส่วนในกรณีเพื่อนของเจ้ ผมคงปล่อยเค้าให้ลองที่จะรักกับคนที่เค้าเคยรักในอดีต และเป้นเพื่อนของเค้าต่อไป และถอยออกมาที่จะคิดว่าความรักครั้งนี้เราพลาดอะไร เราเอาแต่ใจมากเกินไปหรือเปล่า และพยายามปรับปรุงตัวเองให้ความรักครั้งใหม่ต้องดีกว่าครั้งนี้


ปัญหาทั้งสองจะดีขึ้น ถ้าพวกเค้าจะรู้จักที่จะรักตัวเอง เมื่อรู้จักที่จะรักตัวเองแล้ว เราย่อมแคร์ตัวเอง และอยากให้ตัวเองมีความสุข ความรักน่าจะเกิดจากการรักตัวเองก่อนนะครับ เมื่อเรารู้จักที่จะรักตัวเอง เราจึงขยายความรักไปให้คนรอบข้างและความรักนี้ก็ไม่หวังผลตอบแทน ส่วนการที่อาจมีคนมารักเพราะเราได้ขยายความรักไปให้เค้ามันเป็นผลพลอยได้ และอีกอย่างชีวิตมีหลายแง่มุม เช่น เรามีครอบครัว เพื่อน ทามไมต้องให้ความผิดหวังในแง่มุมเล็กๆมากำหนดชีวิตเรา


หันมารักตัวเอง เมื่อเรารักตัวเองเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีความสุข เราจะอยากที่จะออกกำลังกายเพราะเราอยากให้ร่างกายแข็งแรง และเราจะรู้จักที่จะอยู่กับตัวเองได้เพราะเรามีความรักให้ตัวเองนั่นเอง


Thursday, October 25, 2007

ลมหนาว


ลมหนาวเริ่มพัดมาแล้วซิ เพื่อนๆเคยได้กลิ่นลมหนาวหรือเปล่าครับ? กลิ่นลมหนาวที่แฝงไว้ด้วยความเหงา เงียบ สงบ และสวยงาม


ช่วงเวลาประมาณเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมค่อนข้างกลับบ้านดึกนะครับ นั่งแก้งานอยู่ที่มหาลัย และเดินกลับบ้านคนเดียวในช่วงเวลาเกือบสองทุ่ม การได้ทำอะไรคนเดียวบ้าง สูดกลิ่นหอมของธรรมชาติ ผมได้กลิ่นของลมหนาวพัดมาอีกแล้ว สำหรับผมลมหนาว ให้ความรู้สึกที่เหงา โดดเดี่ยว และคิดถึงแม่ ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆ


แต่ในอีกมุมหนึ่งผมก็ได้ซึมซับกับความสวยงามที่เงียบงัน สันโดษ และ สงบ นึกถึงการได้ครุ่นคิดและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ หลายคนกำลังดิ้นรนไปสู่จุดหมาย เดินไปข้างหน้า แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องการแล้ว กลับรู้สึกว่าไม่เหลืออะไรเลย


ลมหนาวนำมาซึ่งความสวยงาม สวยงามแห่งความเยือกเย็น ลุ่มลึกและน่าค้นหา ความหนาวเย็นที่จะทำให้ตัวเองผ่านช่วงเวลที่ยากลำบากไปไห้ได้ ขอบคุณลมหนาวที่ทำให้ผมคิดอะไรได้มากมาย ขอบคุณความเหงาที่ทำให้ผมได้รู้จักที่จะอยู่กับตัวเอง ขอบคุณความรักของแม่ที่เมื่อเวลาผมเหงายังมีความรักของแม่นำทาง และขอบคุณธรรมชาติที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวของผมเองคือจุดเล็กๆของจักรวาลที่จะมีตัวตนไม่เกินอีก 100 ปี

Wednesday, October 17, 2007

โลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ


ผมเชื่อเรื่องความมหัศจรรย์บนโลกใบนี้ มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่สามารถอธิบายได้ หรือ มันแค่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น ? ผมเริ่มขบคิดเรื่องนี้ในวันนี้นี่เอง ผมคิดว่าทางที่เรากำลังกลับบ้านวันนี้ อาจมีคนที่เรารู้จักหรือที่เราจะรู้จักในอนาคตพึ่งเดินทางผ่านไปหรือกำลังจะเดินทางมาในทางเส้นนี้


ผมมีเรื่องตลกที่ครั้งหนึ่งผมเคยพอใจผู้หญิงคนหนึ่ง เราไม่เคยคุยกันเลยว่าบ้านของแต่ละคนอยู่ที่ไหน จนวันหนึ่งผมก้อต้องแปลกใจเมื่อรู้ว่าบ้านของเธอกลับอยู่ใกล้ร้านอาหารที่ผมชอบไปนั่งและที่สำคัญช่วงเวลาที่ผมไปนั่งที่ร้านนั่นเธอมักจะผ่านหน้าร้านนั้นอยู่เสมอ อีกครั้งหนึ่ง ที่เธอไปดูหนังเรื่องเดียวกับผมโดยเธอดูรอบก่อนผม โดยเราต้องแปลกใจที่เมื่อเธอออกจากโรงหนังผมกลับเดินเข้า มันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือจริงๆแล้วสวรรค์กำลังเล่นตลก (ในท้ายที่สุดผมไม่ได้เป็นแฟนกับเธอนะครับ)


เมื่อคิดได้แบบนี้ คนที่เราเดินสวนกันไปมาตามท้องถนน วันหนึ่งอาจเป็นเพื่อนรักเราก้อได้หรือรวมถึงอาจกลายเป็นคู่รักเราก็ได้ เรามักจะเดินสวนทางกับคนๆนั้นอยู่เสมอ แต่เราก้อจะรอว่า เมื่อโลกนี้มานไม่มีเรื่องบังเอิญการเดินสวนทางกันในวันนี้ อาจจะกลับกลายเป็นการเดินร่วมทางในที่สุด............

Saturday, September 29, 2007

กอดสุดท้าย


ผมเขียนบล็อกในตอนนี้ด้วยความรู้สึกเศร้า เป็นห่วง และสิ้นหวัง เพราะในช่วงเวลานี้ผมน่าจะที่ได้ทำอะไรมากมายที่ตัวเองได้วางแผนไว้ แต่ผมก้อต้องติดกับดัก กับความคิดที่ไม่ยืดหยุ่นของคนบางคน นี้เป้นปัญหาแรกที่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ ปัญหาที่สองคือ คุณย่าของผมกำลังป่วยหนักมาก ผมช่วยได้อย่างเดียวคือเอาใจช่วยให้คุณย่าของผมกลับมา กลับมารับรู้ทุกความรู้สึกที่ผมอยากมอบให้ท่าน


ผมจำความได้ตั้งแต่เกิดมา ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวขยาย คือ เราอยู่กัน พ่อ แม่ คุณปู่ และคุณย่า ผมชอบครอบครัวแบบนี้มาก มันเป็นทั้งความรู้สึกที่อบอุ่น ของความรักระหว่างรุ่นต่อรุ่น รวมถึงความรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงที่ได้อยู่ร่วมกัน คุณย่าชอบแสดงความรักด้วยการสวมกอด ผมจำอ้อมกอดของคุณย่าได้เสมอ มันเป็นอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่น และเมื่อเราไกลกันและได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง อ้อมกอดแทนคำพูดทุกๆคำที่เราอยากพูดต่อกัน มันเป็นคำพูดที่แสนจะอบอุ่นซะเหลือเกิน


คุณย่าของผมป่วยมาได้ประมาณ สามปี ด้วยโรคที่เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยเกินในช่วงที่คุณย่าเป็นลม มีผลให้คุณย่าไม่สามารถพูดได้ รวมถึงความทรงจำของคุณย่าบางส่วนหายไป มันเป็นความทุกข์มากๆที่เราอยากแสดงถึงความรักให้คนๆหนึ่งได้รับรู้ โดยที่บางช่วงเวลาเค้าไม่รู้เลยว่าเราคือไคร?


การกลับบ้านเมื่อคราวที่แล้วของผมจะเป็นการกอดคุณย่าครั้งสุดท้ายหรือเปล่านะครับ ผมเลยต้องฮึดเงือกสุดท้ายเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะนักเรียนเพื่อแก้ทีสีสให้เสร็จเร็วที่สุดเพื่อ ผมจะได้กลับบ้าน ไปทำหน้าที่อีกหน้านึ่ง คือ กลับไปดูแลคุณย่าและกลับไปกอดคุณย่าอีกครั้ง

Tuesday, September 11, 2007

ผมรักการอยู่บ้าน


ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ชีวิตผมค่อนข้างจะชีพจรลงเท้านะครับ คือ ต้องเดินทางไปหาดใหญ่ เพื่อไปทำธุระอะไรนิดหน่อย เมื่อเสร็จธุระ ผมไม่ลืมที่จะกลับบ้านไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่นครศรีธรรมราช แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่สั้นๆที่ได้อยู่กับท่าน แต่ผมก็มีความสุขมากๆ การได้ไปเยี่ยมคุณยายที่ท่านอายุ 99 ปีแล้วแต่ยังแข็งแรง รวมถึงการได้ดูแลคุณย่าที่สุขภาพไม่ค่อยดีนัก ทำให้ผมได้รู้สึกว่าได้ตอบแทนช่วงเวลาในอดีตที่คุณย่าและคุณยายเคยเลี้ยงดูผมและสั่งสอนผมมาตลอด


ผมมานึกถึงอุปนิสัยส่วนตัวของผมเอง ที่ถ้าเลือกได้ในวันหยุดว่าให้ทำอะไร ผมคงตอบแบบไม่คิดว่าผมเลือกที่จะอยู่บ้าน ชอบที่จะทำกิจกรรมทุกกิจกรรมกับคนในครอบครัว หลังจากผมกลับมาจากปักษ์ใต้ ภารกิจของผม คือ การที่ผมจะต้องทำเป้าหมายของผมให้สำเร็จ คือ การเรียบแก้เวิร์ดดิ้ง ให้ตรงกับที่อาจารย์ นิพนธ์ พัวพงศกร ให้ผมแก้ตามนั้น ตอนแรกผมคิดว่า จะไปนั่งแก้งาน ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มธ ดีกว่า แต่พอคิดอีกที่ผมว่า การนั่งแก้งานอยู่ที่บ้าน น่าจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า


บ้านที่พักในกรุงเทพ ตั้งอยู่ที่ชานเมือง หลังเล็กๆ แต่ผมรู้สึกถึงความรู้สึกอบอุ่นที่อยู่ในบ้านหลังนี้ รอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ที่เขียวขจี ผมเลือกที่จะเปิดผ้าม่าน รอบบ้าน ให้ลมพัดเข้ามา พร้อมทั้งเห็นถึงความสดชื่น ของเหล่าต้นไม้ ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ดูดดื่มกับความกลมกลืนของธรรมชขาติ ชีวิตช้าสักนิดแต่ได้ดูดดื่มกับธรรมชาติ ผมว่านี่หละคือคุณภาพชีวิตที่ผมเลือกสรรค์


การได้อยู่บ้านผมเลือกที่จะลองทำกับข้าวกับปลาง่ายๆทานเอง แม้ว่าฝีมือทำกะข้าวผมจะไม่ได้เรื่องเลยนะครับ แต่ผมว่า สิ่งนี้ทำให้เรารีแลกนะ เลือกที่จะทำในสิ่งที่เราชอบ แม้ว่าบางเมนูจะเป็นเมนูง่ายๆ แต่ก้อใช้เวลาเหมือนกันนะครับ ทำให้ผมนึกขอบคุณ แม่ ที่ทามอาหารให้เราทานตลอด คงไม่ง่ายนักที่จะต้องดีไซด์เมนูต่างๆให้พวกเรารับประทาน รวมถึงปัจจุบัน ยังมีอาหารจากนครมาฝากเราเสมอ ผมซาบซึ้งในสิ่งที่แม่ทำนะครับ


การอยู่บ้านของผมจึงเป็นการปฎิบัติธรรม การดื่มดำกับธรรมชาติรอบบ้าน และคิดรอบคอบในสิ่งที่ตัวตัวเองจะทำ และการเดินช้าๆบ้าง ก็ทำให้เห็นถึงสิ่งสวยงามรอบตัว เพราะเหตุนี้นี่เอง ผมเลยรักการอยู่บ้านด้วยประการดังกล่าว

Monday, August 27, 2007

เพื่อนในกลุ่ม


ผมมักชอบนึกถึงช่วงเวลาต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตนะครับ แต่ละช่วงเวลามีแง่มุม มีความสุขและความทุกข์ ผมมักเสียดายช่วงเวลาในวัยเด็กที่เกี่ยวกับเพื่อนเพราะผมละเลยเพื่อนในวัยเด็ก การละเลยเกิดจากการไม่ให้ความสำคัญ และคิดว่าในช่วงเวลานั้นการไม่มีเพื่อนมาวุ่นวายกับชีวิตชีวิตก้อไม่น่ามีอะไร แต่ความรู้สึกอันนั้นเป็นความรู้สึกที่ผมคิดผิดตลอดมา จนผมได้มาเจอเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ความคิดเหล่านั้นก็เปลี่ยนไป ทำให้ผมเสียดายหลายช่วงเวลาที่ผมน่าจะสนุกและร่วมกิจกรรมกับเพื่อนให้มากกว่านี้


กลุ่มที่ผมคบและผมนับเป็นเพื่อนและกลุ่มนี้ให้ความรู้สึกถึงความเป็นตัวของตัวเองของผม และยืนอยู่ตรงนี้เสมอในยามที่ผมรู้สึกอ่อนแอ และสิ้นหวัง จุดเริ่มต้นของการเข้าอยู่ในกลุ่มนี้คือ เป็นช่วงปี3 ผมมีเรื่องที่ไม่สบายใจกับเพื่อนที่ผมคบอยู้นะครับ ตอนนั้นผมเด็กเกินกว่าที่จะนั่งคุยและแก้ปัญหาด้วยเหตุผล ผมเพียงคิดว่า ถ้าเราคุยกันไม่รู้เรื่องผมขอเป็นฝ่ายถอยดีกว่า ตอนนั้นผมรู้ว่าปัญหานี้ผมควรปรึกษาใคร จะปรึกษาเพื่อนในรุ่นก้อจะเป็นข่าวซุบซิบกันอีก ผมเลยเลือกที่จะปรึกษาพี่ต้น เพื่อนรุนพี่ที่ตอนนั้นเป็นแค่รุ่นพี่ที่รู้จักไม่ได้สนิทสนมอะไรกันเลย การได้คุยกับพี่ต้นทำให้มุมมองความคิดของผมเปลี่ยนไป ผมรู้สึกว่า ผมเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีอิสระทางความคิดมากกกกกก ผมเริ่มเสนอตัวที่จะขอร่วมแจมกับกลุ่มพี่ต้นด้วย พี่ต้นยินดีที่จะรับผมเข้ามาในกลุ่ม กลุ่มเราเริ่มต้นตรงนี้นี่เอง


พี่เติ้งเป็นอีกคนที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ตรงดิ่งเข้ามาในกลุ่มเราตอนใหน อาจเป็นเพราะว่าบุคลิกสบายๆๆ ชอบรับประทานอาหาร และเป็นมิตรกับทุกคน พี่เติ้งเลยคุยกับผมถูกคอ ด้วยอัธยาศัยที่ตรงกัน การชอบแคมปิ้งเหมือนกัน และผมคุยกับพี่เติ้งได้แทบทุกเรื่อง รวมถึงพี่เติ้งมีแกสเฮ้าที่แสนสบายที่หัวหินให้พวกเราได้ซุกหัวนอนกัน พี่เติ้งและพี่ต้นเป็นเพื่อนในกลุ่มคนแรกๆที่ผมมักจะนึกถึงเมื่อยามมีปัญหา ผมรู้สึกว่า บางทีปัญหาทุกอย่างก็หมดสิ้นไปเมื่อเจอเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสอง รวมถึงการที่ผมสนิทกับทั้งสองครอบครัวคือพ่อแม่ของพี่ต้น และพี่เติ้ง ยิ่งทามให้พวกเราซี้กันมากยิ่งขึ้น


พี่ชัย เป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพในความมีน้ำใจ พี่ชัยเป็นคนที่น่ารักมาก ไม่ว่าจะมีอะไรที่พอช่วยได้พี่ชัยจะไม่ลังเลช่วยผมเสมอ โดยเฉพาะการมีหนังชุดดีๆมาให้ผมดู รวมถึงรสนิยมในการฟังเพลงคลาสสิกที่เป้นรสนิยมที่ตรงกับผมทำให้พี่ชัยมีเพลงมาให้ผมฟังเสมอ นอกจากความมีนำใจของพี่ชัยแล้ว ผมชอบครอบครัวของพี่ชัยด้วยนะ ชอบการอดออมของพ่อพี่ชัย ที่รู้จักใช้สอยเงินทองจนสามารถส่งลูกสองคนจบปริญญา รวมถึงความกตัญญูของพี่ชัยที่มีต่อแม่ซึ่งป่วยอยู่ ผมซาบซึ้งในสิ่งที่พี่ทามต่อแม่นะ แม้ว่า การกระทำอันนั้นจะไม่เกี่ยวขอ้งกับผมเลยแต่ผมนับถือในเรื่องการกตัญญูต่อพ่อและแม่ของพี่มากๆๆ


ก้อย เป็นหญิ่งเดียวในกลุ่มบางที ผมก้อสงสารก้อยนะ เพราะพอผู้ชายหลายคนมารวมกันก้อเปนธรรมดาที่จะแสดงความาห่าม ทะลึ่งตึงตังในแบบของผู้ชาย ทามให้ก้อยลำบากใจบ้างละ หรือเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ก้อยต้องเสียสละที่นอนอันอ่อนนุ่มไห้ชายหนุ่มทั้ง6 คนได้นอน เพราะเราถือว่าเวลแฟร์ของสังคมสูงที่สุด55 แต่พวกเราก้อรักแกนะก้อย รวมถึงเอาใจช่วยในทุกๆเรื่องและอยากให้แกได้ร่วมทำกิจกรรมทุกกิจกครรมที่พวกเราได้ทำ และลุ้นว่าเมื่อไหร่จะมีชายหนุ่มมาตกหลุมแกซักที


พี่อาร์ตและพี่โค๊ก อาจเปนเพื่อนในกลุ่มที่ผมสนิทน้อยที่สุด แต่ทั้งสองก็มีน้ำใจส่งมาให้ผมเสมอ แม้ว่าพี่อาร์ตแกจะทะลึ่งตึงตังไปหน่อยรวมถึงนิสัยพี่โค้กที่ดูเฉยๆ แต่ผมก็โอนะ


เวลาคบเพื่อนผมจะให้ใจพวกเค้า เวลามีเรื่องที่ไม่สบายใจต่อกันผมเลือกที่จะนึกถึงวันเก่าๆ วันที่พวกเค้าเคยช่วยเหลือผม เคยเลี้ยงข้าว รวมถึงพ่อแม่พวกเค้าก็ดีกับผมมากๆ แล้วแบบนี้ผมจะโกรธพวกเค้าลงได้ไง ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ผมรู้ว่าพวกเค้าคือเพื่อนที่ดีที่สุดกลุ่มนึ่งของผมตลอดไป
ปล.รูปจาซ้ายไปขวา ก้อย วิท พี่อาร์ต พี่ต้น พี่โค้ก (น่าเสียดายที่ในรูปไม่มีพี่ชัย และพี่เติ้ง)

Wednesday, August 08, 2007

วันของแม่


เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว แม่และน้องนุชได้เดินทางจากนคร มาที่บ้านของพวกเรา ผมรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุข กับการเดินทางมาของแม่และน้องนุชมาก แม่เตรียมของมาฝากพวกเราเยอะมากเลยนะครับ ทั้งขนม นมเนย ของโปรดที่ผมและเจ้ชอบทาน แค่เห็นแม่และน้องนุชผมก้อโอเคแล้วละ


ไม่บ่อยมากนักที่แม่จะเดินทางและมาพักกับพวกเรานานถึงเกือบสองอาทิตย์ขนาดนี้ การเดินทางของแม่ในครั้งนี้เพราะแม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูอาวุโส และได้รับเข็มเชิดชูเกียร์ติ จากสมเด็จพระบรมฯนั่นเอง การเดินทางในครั้งนี้ของแม่จึงเป็นการเดินทางเพื่อรับรางวัล ในการการทามหน้าที่ของแม่ในอาชีพที่ตนเองปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม


ผมกับเจ้อมยิ้มแม่นะ ความรู้สึกของเราเหมือนเรากำลังย้อนเวลานะครับ ย้อนเมื่อสมัยเราเด็กๆ เวลาเราได้รับรางวัล เวลาเราต้องเดินทางไปทัศนะศึกษา หรือต้องไกลบ้าน แม่จะเตรียมของทุกอย่างให้เรา พร้อมถึงดูความเรียบร้อยของพวกเรา มาตอนนี้เรากลับเป็นฝ่ายที่ดูความเรียบร้อยให้แม่ ว่าของทุกอย่างแม่เรียบร้อยหรือยัง การซ้อมในการเข้าเฝ้าของแม่โอเคมั้ย เมื่อเราโตขึ้นบทบาทของเราเปลี่ยนไปแบบนี้เองหรือ เป็นบทบาทที่แสนจะอบอุ่น และเป็นบทบาทที่ผมน้อมรับด้วยความยินดีและเต็มใจ


แม่คงมั้ยรู้หรอกว่า ทุกบทบาทของแม่ที่ผ่านมาแม่ทามหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แม่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมฟังเสมอ แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนที่เดื้อพอสมควรก็ตาม แม่จ๋า วิทภูมิใจในวันสำคัญในวันนี้ของแม่จัง.....

Sunday, July 22, 2007

วันอาทิตย์


วันอาทิตย์ของทุกอาทิตย์ผมมักจะนัดกับเพื่อนๆไห้น้อยที่สุดนะครับ แค่แผนการว่าทุกเช้าวันอาทิตย์ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียนภาษาจีน ก็ทำให้เวลาช่วงเช้าของผมก้อหายไปครึ่งวัน รวมถึงการต้องมีนัดกับท่านอาจารย์เพลินพิศในทุกวันอาทิตย์ตอนบ่ายสอง ช่วงเกือบทั้งวันของวันอาทิตย์ผมก้อหายไปเกือบทั้งวัน แต่ผมไม่ลืมเสมอ คือ เมื่อทำภารกิจทั่งสองเสร็จผมชอบที่จะตรงดิ่งกลับบ้าน


ผมชอบกลับบ้านเร็ววันอาทิตย์เพราะ ผมมักจะแพลนที่จะต้องกลับมารีดเสื้อผ้า ทำงานบ้านอีกเล็กน้อย แต่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของผมของการรีบกลับบ้าน ไม่ได้มีเหตุผลแค่นี้ เหตุผลที่สำคัญที่สุด คือ ยิ่งถ้าผมและเจ้ช่วยกันทำงานบ้านเสร็จเร็วแค่ไหน เราก้อมีเวลาที่ได้ออกกำลังกายด้วยกันมากขึ้น


ผมชอบที่จะจ็อกกิ้งเบาๆกับเจ้นะ แต่ส่วนใหญ่เป็นการเดินเสียมากกว่า เพราะช่วงนี้เจ้แกปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้นำหนักเพิ่มขึ้น จนพวกเราทั้ง พ่อ แม่ น้องนุช และผมต้อง ไซโคอย่างหนักว่าเจ้ต้องหันมาดูแลตัวเองได้แล้ว การทำงานอย่างหนักของเจ้ แม้ว่าจะได้รับรายได้ที่มากก้อตามแต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าแลกมาด้วยการมีสุขภาพที่ไม่ดี ผมเลยเปนตัวตั้งตัวตีที่จะต้องนำเจ้มาออกกำลังกายละ รวมถึงต้องปลุกเจ้ตอนตีห้าเพื่อมาออกกำลังกายก่อนไปทามงาน


การทามกิจกรรมเช่นนี้กลับทำให้ผมเสียอีกที่ได้รับอะไรบางอย่างจากการออกกำลังกายครั้งนี้ ในระหว่างอาทิตย์เราแทบไม่ได้คุยกันเลย เจ้กลับมาจากทามงานก้อตาลีตาเหลือก ที่จะต้องพักผ่อน ส่วนผมก้อต้องสวดมนต์หนึ่งชั่วโมง แล้วอ่านหนังสืออีกนิดหน่อยก่อนนอน ทามให้เราเลยไม่ได้คุยกัน การที่เราเปลี่ยนแผน โดยมาออกกำลังกายด้วยกันในวันอาทิตย์ ผมได้คุยกับเจ้หลายเรื่องมาก แทนที่ผมจะช่วยให้เจ้ได้ออกกำลังกายผมกลับได้ไอเดียร์เยอะเลยจากเจ้ สิ่งนั้นคืออะไรหรือ


ผมได้คุยกับเจ้เรื่องการใช้ชีวิตนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อนของเจ้ และรื่อง ที่ผมเห็นด้วยกับเจ้คือการใช้ชีวิตในโลกเดียวนี้ ซึ่งต้องใช้ความอดทนอย่างมาก แต่เรื่องที่เราคุยกันในอาทิตย์นี้ เราเน้น คุยกันในเรื่องการใช้เงิน ส่วนตัวผมเป้นคนใช้เงินแบบสบายๆ คือไม่ค่อยสนใจกับอะไรมาก อยากใช้อยากซื้อ ก้อเต็มที่ โดยไม่เคยคิดเลยว่าเดือนๆหนึ่งเงินทองของผมหมดไปกับอะไร ซึ่งถ้าผมใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปผมต้องลำบากแน่ๆ ผมกับเจ้เลยนึกเกมส์อะไรๆสนุกทามกัน คือ ตั้งแต่สิ้นเดือนนี้ เราจะวางแผนว่า รายจ่ายของเราจะมากองเป็นเงินหลายๆกอง โดยแยกอย่างชัดเจนว่าเราจะใช้แต่ละส่วนเท่าไร เช่นใช้เป็นค่าโทรศัพยื ใช้เป้นค่าอาหาร ใช้เป็นค่าเอนเตอร์เทน ให้ตัวเอง เพระเงินทองสามารถเล่นกลย์กับเราได้ ถ้าเรารู้ที่จะอดออม และเงินที่จะออมไว้พื่ออนาคต(สำหรับผมอาจเป็นเงินขอสาวแต่งงาน55) และที่สำคัญคือสิ่งที่เราทามจะสอนให้เรามีระเบียบวินัยในการใช้เงิน มองดูเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กที่ถ้าเราไม่เคยฝึกตัเองเลยและปล่อยให้เงินทองเล่นตลกกับเรา โดยการใช้บัตรเครดิตเอ้ย การใช้จ่ายเกินตัวบ้างละ นี่หละที่ผมยังต้องฝึกให้ตัวเองที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในโลกนี้อย่างปลอดภัย


วันอาทิตย์สำหรับผมก้อเลยวันที่พิเศษแบบนี้นี่เอง แต่สิ่งที่ยังหนักใจ คือทามอย่างไรให้น้ำหนักของเจ้ลดลงให้ได้ เอานะวิทสู้ๆ เพื่อเจ้.......

Wednesday, July 04, 2007

Don't find love, let love find you




ผมตั้งชื่อเรื่องโดยการลอกคำกระทู้ของเพื่อนรักที่เป็นอาจารสอนมหาลัยคนนึ่งนะครับ ประจวบเหมาะกับผมได้รับเชิญไปงานรับปริญญารุ่นพี่คนหนึ่ง ด้วยนสองเหตุผลนี้ผมเลยต้องเขียนบรรทึก ในเรื่องราวดังกล่าว Don't find love, let love find you เป็นสองสมมติฐานจากคำถามที่ว่า ความรักเกิดขึ้นได้อย่างไร




สมมติฐานแรก คือ ความรักเกิดจากการตามหาของเราเอง เราต้องดิ้นรน ไขว่คว้า เพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก หรือ สมมติฐานที่สอง ความรักเกิดจาก ความรักตามหาตัวเราเอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงแต่ปล่อยให้เป็นไปตามาธรรมชาตินั้นเอง ข้อเขียนนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าผมไม่ได้ไปร่วมงานซ้อมรับปริญญาของรุ่นพี่ที่คณะเภสัช มหิดล เหตุจากผมได้ยินเสียงซุบซิบ ของเพื่อนรุ่นพี่ของผมว่า รุ่นพี่ผมเก่งเหลือเกินที่สามารถนัดหนุ่มถึงสองคนมางานร่วมรับปริญญา โดยที่ตัวเองไม่สะทกสะท้านอะไรเลย แต่กลับสร้างบรรยากาศมาคุให้กับสองหนุ่มที่มาร่วมงาน




ผมคงหัวเราะไม่ออกอีกเช่นกัน ถ้าจะสมมติว่า ผมกลับเป็นคนหนุ่มทั้งสองนั้น รุ่นพี่ผมเป็นผู้หญิงทันสมัย สวย ฉลาด คล่องแคล่ว ว่องไว มีรึ ที่ชายหนุ่มทั้งหลายจะไม่สนใจ โชคดีจริงๆที่ผมไม่ใช่ชายหนุ่มพวกนั้น เพราะผมชอบผู้หญิงเรียบๆ ฉลาด และมีความสุขในการอยู่บนโลกใบนี้ หนุ่มทั้งสองใช้กลยุทธ์ที่ต่างกัน หนุ่มคนหนึ่งท่าทางกะล่อน เอาใจสาวเก่ง ใช้กลยุทธ์ที่แสดงว่า ผู้หญิงคนนี้ คือ คนของเค้า ตามติดตลอดเวลา เอาอกเอาใจ ปรนนิบัติพัดวี ส่วนชายหนุ่มอีกคน ออกอาการเป๋นะครับ ดูผิดหวังและช็อกที่อยู่ๆกลับมีชายหนุ่มอีกคนมาแสดงถึงความสนิทกับสาวเจ้า ดังเช่นตัวเองแสดง




สมมติฐานแรกที่กล่าวว่า ความรักเกิดจากเราต้องเป็นฝ่ายวิ่งตาม และพยายามจนถึงที่สุด เพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก ดูจะสามารถตอบคำถามในกรณีนี้ได้ ผู้ชายสองคนนี้กำลังมองเห็นว่า สมมติฐานแรก คือ มรรควิธีที่ถูกต้อง ถ้าผมมองถึงรางวัล ที่แต่ละคนได้รับในการเล่นเกมส์นี้ รุ่นพี่ผมจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด เพราะได้รับการเอาอกเอาใจ จากชายหนุ่มทั้งสอง แต่ต้นทุนของรุ่นพี่ผม คือ การที่เมื่อผู้ชายดีๆบางคน มองเห็นถึงพฤติกรรมที่นึกถึงแต่ตัวเอง รุ่นพี่ผมก้อพลาดโอกาสการได้รู้จักและมีสัมพันธภาพกับผู้ชายดีๆ ที่เชื่อในสมมติฐานที่สอง มาดูรางวัลของชายหนุ่มทั้งสอง คือ การได้เป็นแฟนกับรุ่นพี่ของผมซึ่งไมรู้จะคบกันยืดหรือเปล่า รวมถึงการอาจจะได้มีเซ็กกับรุ่นพี่ของผม ซึ่งรางวัลอันหลังนี้คงยากซักหน่อย เพราะเธอเป้นผู้หญิงที่ห่วงตัวเอามากๆ




ผมนึกต่อไปอีกว่า ถ้าผมเป้นผู้ชายทั้งสองนั้น ผมจะทำตัวอย่างไร หรือ จะเล่นเกมส์นี้อย่างไรให้ตัวเองมีความสุข ผมคงเริ่มต้นที่จะทักคู่แข่งด้วยความมิตร พร้อมทั้งสำรวจจุดอ่อน จุดแข็งของคู่แข็งว่า ถ้าผมจะเอาชนะผมจะต้องทำอย่างไร แต่ความรักไม่ใช่การใช้กลยุทธ์เท่านั้น เพราะผมเชื่อในสมมติฐานที่สอง คือ ความรักจะตามหาตัวเราเอง ถ้าผมเชื่อสมมติฐานนี้ ผมจะไม่สนใจว่าเกมส์นี้ ผมจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ ผมคงใช้เวลาและรอดูว่า ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ใช่สำหรับผมหรือ เปล่า และผู้หญิงคนนั้น จะเห็นผมเป็นผู้ชายที่ใช่ด้วยหรือไม่ แต่ในความเป็นจริงผมจะทำแบบนี้ได้หรือเปล่านะ




การตอบคำถามของผม คงยังตอบคำถามนี้ไม่ได้แน่นอนในบทความบทนี้ แต่เมื่อวันข้างหน้า ที่ผมต้องหาความรัก หรือ ความรักได้ตามหาผมเจอผมจะกลับมาตอบคำถามนี้ด้วยตัวเอง...........

Tuesday, June 26, 2007

คิดแบบเด็กๆ


ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสทำตามความฝันของผมชิ้นหนึ่งนะครับ นั้นคือ ผมฝันว่า ผมอยากมีอาชีพเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ ดูเป็นอาชีพที่มีคุณค่า และนำมาซึ่งความสุขให้ตัวเองและผู้อื่น ผมเริ่มรู้จักอาชีพนี้ครั้งแรก ทางสารคดีต่างประเทศสารคดีนึ่ง ที่พูดถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และนึ่งในคนๆนั้น ก็ประกอบอาชีพนี้ ผมทึ่งกับวิธีคิด วีธีการทำงาน และแรงบันดาลใจที่เค้าได้รับ และรวมถึงสิ่งที่ผมเป็นและวิธีการคิดที่ผมคิด ผมเลยรู้เลยว่าอาชีพนี้แหละที่ผมตามหามาชั่วชีวิต


ผมเลยสร้างโอกาสให้ตัวเอง โดยขอเป็นอาสาสมัครในการการอบรม สมรรถภาพข้าราชการ กับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทาลัยธรรมศาสตร์ ผมอยากรู้ว่าการที่จะมีบริษัทของตัวเอง และเป็นบริษัทสร้างแรงบันดาลใจนั้นผมต้องทำอะไรบ้าง การหายไปเป็นอาสาสมัครครั้งนี้ให้อะไรกับผมมาก อย่างน้อยผมรู้ว่าผมยังต้องสังสมประสบการ ความรู้และวิธีคิดอีกมากกว่าที่จะอยู่ในวงการนี้ได้อย่างมั่นคง ก้าวต่อไปของผม คือการทำงาน หาประสบการณ์ในชีวิต และทำตัวให้เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่มีประโยชน์ ซึ่งยังต้องเดินอีกหลายก้าวทีเดียว


ผมได้พบกับผู้ร่วมสัมมนา ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจาก กระทรวงการคลัง การที่จะทามให้ผู้ใหญ่มีพลัง มีความคิดสร้างสรรค์ช่างยากเหลือเกิน นั้นเปนคำถามแรกที่อยู่ในใจของผม แต่รู้หรือเปล่าครับ ความมหัสจรรย์มักมาจากความเรียบง่าย นั้นก้อคือ การทามให้พวกผู้ใหญ่เหล่านี้ คิดได้แบบเด็กๆ สนุกกับปัญหาเหมือนกำลังเล่นเกมส์อยู่ในงานสัมมนานี้ ผมเริ่มเห็นรอยยิ้มความรู้สึกผ่อนคลายจากผู้เข้าร่วมสัมมนามากขึ้น การคิดแบบเด็กๆน่าจะเป็นคำที่ไม่มีใครชอบว่า เป็นคน คิดแบบเด็กๆ แต่การคิดแบบเด็กๆนี้ก้อนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ การรู้จักใว้ใจคนอื่น นี่แหละคือเป้าหมาย สำหรับการจัดสัมมนา


สำหรับผม ผมชอบความคิดแบบเด็กๆอยู่แล้ว ผมชอบเล่นสนุกแบบเด็กๆ แต่อย่างนึ่งที่ผมยังทามไม่ได้ในแบบเด็กๆ คือ การให้อภัยคนอื่น คือ ช่วงเวลาที่เราเป็นเด็ก เวลาเราโกรธกัน แป็ปเดียวเราก้อคืนดีกัน แต่เมื่อโตขึ้น บาดแผลที่เราเคยได้รับกับคนบางคน มันไม่เคยลบเลือนเลย ผมคงยังต้องนำเอาบทเรียนนี้ประยุกต์กับชีวิต และฝึกตนเองให้ได้ ไปสู่ในสิ้งที่ตัวเองฝันนะ วันนี้ท่าทาง ผมต้องกลับไปเล่น กับยายเอิง หลานสาวจอมซนของผมซะแล้วซิ........

Monday, June 04, 2007

คิดถึงแม่


บางช่วงเวลา ที่วิทอาจมีสังคมสนุกสนานกับเพื่อนและนิสัยบางอย่างจของวิทที่ไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพย์ทำให้ละเลยที่จะโทรหาผู้หญิงคนนึ่ง คนที่มักจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อพูดถึงความทรงจำในวัยเยาว์ของพวกเรา ไม่ต้องแปลกกใจเลยผู้หญิงคนนั้น คือคนที่สำคัญที่สุดและไม่มีใครที่จะรักผมใด้เท่าแม่ของผมอีกแล้ว


วิทชอบเสียงของแม่เวลาคุยกับแม่นะ แม่จะติดปากคำว่าจ้ะ นะจ้ะ อยู่เสมอ วิทรู้สึกนำเสียงที่มีคำต่อท้ายเช่นนี้แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่น แม่อาจะน้อยใจวิทที่บางครั้งผ่านไปหลายวัน ลูกวิทก้อยังไม่โทรหาแม่ซักที วิทอยากให้แม่รู้นะครับ ว่าวิทคิดถึงแม่ทุกวัน เวลาวิทจะทำอะไรวิทจะคิดถึงแม่และพ่อก่อนเสมอ แต่วิทชอบวิธีคิดแบบแม่นะ ในเมื่อวิทไม่โทรมา แม่ก้อจะโทรหาวิทเอง วิทซาบซึ้งนะครับและมีความสุขเสมอเมื่อได้ยินเสียงของแม่ จนบางทีเมื่อมีผู้หญิงเข้ามาในชีวิตของวิท และมีคำพูดติดปากว่า จ้ะ นะจ้ะ วิทแทบเอาตัวไม่รอดทุกทียิ่งถ้านำเสียงเหมือนแม่ด้วยแล้ววิทแทบจะละลายเลยละ


เวลาที่วิทสิ้นหวังและหมดกำลังใจ แม่จงรู้นะครับ ว่าวิทคิดถึงแม่คนแรก เวลาได้ทานอาหารที่ดี และมีความสุขวิทสำนึกอยู่เสมอว่า ถ้าไม่มีปัจจัยที่พ่อแม่มอบให้ วิทไม่มีปัญญาหรอก ที่จะได้นั่งร้านอาหารที่ดีแบบนี้ การดำเนินชีวิตของแม่ทำให้วิทรู้ว่า โลกใบนี้มีที่สำหรับคนที่รู้เท่าทันโลกเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไป วิทได้ทบทวนถึงคำสอนต่างๆ วิทรู้ว่าคำสอนนั้นไม่เคยล้าสมัยเลย แม่มักจะพูดเสมอว่า อย่าทำอะไรเกินตัว จงสังเกตทุกๆอย่างที่ผ่านมาในชีวิต คำสอนทุกคำของแม่สำคัญมากนะครับลูกผู้โง่เขลาคนนี้จะจดจำและนำไปปฏิบัติตาม


เมื่อรักแม่ สิ่งที่ตามมา คือ การรักพี่กับน้อง บางครั้งผมอาจจะน้อยใจและเรียกร้องมากไปที่จะให้เจ้ดูแลเอาใจใส่กับวิทนะ วิทตลกตัวเองอยู่เสมอในความโง่เขลาของตัวเอง ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะไปบังคับใครให้ใส่ใจเราได้ เราก้อจงใส่ใจเค้าเหมือนที่แม่ปฏิบัติกับเรา ขอบคุณแม่ที่ทำให้วิทคิดได้โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย เจ้อย่าพึ่งแปลกใจ ถ้าวิทจะหันมาเอาใจใส่เจ้มากขึ้น สำหรับน้องนุช พี่วิทเป็นห่วงหนู่อยู่เสมอนะ


สิ่งที่วิทตั้งใจ คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และสัญญากับตัวเองว่า วิทจะดูแลแม่กับพ่อให้ดีที่สุด และตอบแทนความรักที่ท่านมอบให้ ให้มากเท่าที่จะมากได้........

Friday, May 18, 2007

รถไฟ


ถ้าถามถึงการเดินทางด้วยยานพาหนะต่างๆแล้ว หัวใจผมทั้งดวงมอบให้กับการเดินทางด้วยรถไฟ อย่างไม่ต้องสงสัย ชีวิตวัยเด็กของผมฝันมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่รู้จักรถไฟครั้งแรกก้อฝันว่าอยากเดินทางโดยไม่มีจุดหมายในขบวนรถไฟ พอโตขึ้นมาหน่อย ฝันอยากเป็นคนขับรถไฟ และคามทรงจำในวัยเด็ก คือ การที่พ่อกับแม่พาพวกเราสามคนพี่น้อง ไปปิกนิคกัน โดยเลือกที่จะไม่ขับรถและใช้การเดินทางโดยรถไฟแทน ขนมนมเนยที่ขายสองข้างทาง ความสุขที่พ่อแม่มอบให้ของการเดินทาง ทามให้จนบัดนั้นจนบัดนี้ผมหลงรักการเดินทางโดยรถไฟมาตลอด


สองข้างทางรถไฟได้มอบความคิดและสถาพความเป็นอยู่ของคนได้เป็นอย่างดี ภาพการนั่งรถไฟของผมและพ่อพร้อมกับการถกเถียงกันถึงสลัมที่ปรากฎอยู่สองข้างทางรถไฟ ทำไมมหานครเช่นกรุงเทพจึงมีคนที่มีสภาพเศรษฐกิจต่างกันเช่นนี้ คนบางคนกลับใช้ชีวิตที่หรูหรา แต่กลับอีกพวกนึ่งแค่ข้าวนึ่งมื้อยังไม่มีเงินจะซื้อเลย


ทุกครั้งที่นั่งรถไฟ ภาพในอดีตได้ผุดขึ้นในใจผม คิดถึงคุณย่า ท่านชอบเดินทางโดยรถไฟเสมอ ท่านมาพร้อมกับความสุข และจากไปยังที่ต่างๆโดยรถไฟ ผมคิดถึงท่านทุกครั้งเมื่อมองเห็นขบวนรถไฟ เห็นสะพานพระราม6 และพระปฐมเจดีย์ ผมคิดถึงความทุกข์จาการได้รับข่าวร้าย ช่วงเวลาที่คุณอาเสียชีวิตเมื่อ 20 กว่าปีก่อน คุณปู่เดินขึ้นรถไฟ ด้วยความสงบแม้ท่านจะแบกรับกับความเจ็บปวดของการสูญเสียลูกชายคนเล็ก


การเดินทางโดยรถไฟจึงมีความหมายเสมอสำหรับผม คงต้องขอบคุณเพื่อนรัก โต้ง ที่เมื่อวานเราได้ไปทานข้าวกันที่เยาวราช ผมเป็นคนเสนอว่าเรากลับบ้านด้วยรถไฟกันมะ เพื่อนรักไม่ลังเลเราซื้อตั๋วที่หัวลำโพงไปลงบางเขน จับรถไฟได้ตอน เกือบสามทุ่ม เราคุยกันหลายเรื่อง โต้งไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เมื่อวิทนั่งรถไฟอีกครั้งโต้งคือเรื่องๆนึ่งที่วิทจะคิดถึง......

Saturday, May 12, 2007

ความรักที่ต้องเลือก


ในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาผมค่อนข้าง เขียนแต่เรื่องหนักๆ มาฟังเรื่องสบายๆ กันดีกว่า แต่ผมก้อยังไม่แน่ใจนะว่า จะเป็นเรื่องเบาๆ หรือยิ่งหนักกว่าก้อไม่รู้ แต่สำหรับผม ผมได้คำตอบนี้แล้ว คือ คำถามที่ว่า ความรักต้องเลือก คือเลือกที่จะสานต่อความสัมพันธ์ของเราให้ก้าวหน้ามากขึ้น ให้ทุกอย่างชัดเจน หรือเลือกที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน



ในช่วงก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างอึดอัดใจกับเรื่องนี้มาก เพราะเมื่อความรักเริ่มเกิดกับเรา มันตามมาด้วยการ เป็นห่วงเค้า อยากไกล้ชิด และที่สำคัญคือ แอบหึงหวง นี้หละผมเริ่มเกิดความทุกข์ขึ้นมาแล้วละ ห่วงว่าจะมีชายหนุ่มคนอื่นเข้ามาแทนที่เราบ้างละ ความรักของผมตอนนี้ช่างเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวซะเหลือเกิน คือ เห็นแต่ตัวเองเป็นความรักที่มีแต่การผูกมัดโดยลืมคิดไปว่า นะวันนี้ผมม่ายมีปัญญาที่จะเลี้ยงดูเค้าได้เลย แค่ปัญญาเอาตัวเองให้รอด ผมยังเอาตัวไม่รอดเลยนะ


ผมเริ่มคิดอย่างรอบคอบ คิดไกลถึงอนาคต การบรรจบของเส้นทางของเราทั้งสอง ผมเริ่มยิ้มออก ผมรู้แล้วละ ว่าผมจะทามเช่นไร ผมเลือกความสัมพันธ์ในรูปแบบของการเป็นเพื่อนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมถอยมานึ่งก้าว เลิกที่จะวุ่นวายและใส่ใจเกินกว่าเพื่อนคนนึ่งจะทำ เลิกที่จะคอยห่วงว่าจะมีชายหนุ่มคนไหนเข้ามาในชีวิตเค้าหรือไม่



เมื่อเลิกที่จะยึดติดกับรูปแบบของความสัมพันธ์ คอยเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ และไม่คาดหวังว่า ในท้ายที่สุดผู้ชายคนนั้นจะใช่เราหรือเปล่า ผมเริ่มมีความสุขขึ้น ชีวิตผมเป็นอิสระมากขึ้น ในเมื่อผมยังมีความเป็นส่วนตัวสูงขนาดนี้ ยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใครได้ ตอนนี้คงแค่ฝึกที่จะดูแลพ่อแม่ เจ้ และน้องให้ดีก่อน นะวิท และเมื่อวันเวลาของอนาคตมาถึง วิทนั้นแหละจะเป็นคนรู้คำตอบนั้นนั่นเอง ว่าผู้หญิง คนนี้ คือ คนที่อยู่ในอนาคตของวิทหรือไม่ จงทำสิ่งที่ควรทำนะวิท และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

Monday, April 30, 2007

Fair or Unfair


ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมมีคำถามที่ถามกับตัวเองอยู่เสมอว่า โลกใบนี้มีความยุติธรรมหรือไม่ หรืออย่าหวังเลยว่าบนโลกใบนี้ จะมีความยุติธรรม การที่ผมตั้งคำถามแบบนี้เพราะในวิชาเศรษฐศาสตร์ที่พรำสอนเรานั้น จะต้องมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากร โดยการจัดสรรทรัพยากรนี้อาจขาดซึ่งความยุติธรรมนั้นเอง


เพื่อนรักของผมปฏิเสธที่จะใช้วิธีการสมัครงานแบบมีคนฝากฝัง เพราะเพื่อนผมคนนี้บอกว่า การใช้วิธีการดังกล่าว เป็นการเอาเปรียบคนอื่นที่ไม่สามารถมีคนรู้จักที่ฝากฝังได้ ในเรื่องนี้ผมมองว่า ในโลกปัจจุบันคนเราขาดซึ่งข้อมูลข่าวสาร นั้นคือ คนที่เลื่อกเราเข้าทำงาน ไม่สามารถที่จะรู้ว่าเรามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน การที่เรามีคนที่น่าไว้วางใจและฝากฝังเราเข้าทำงานทำให้ข้อมูลข่าวสารสมบูรณ์ขึ้น ผมมองต่างจากเพื่อนของผมเพราะ กติกาบนโลกใบนี้ไม่ได้เป็นกติกาที่ยุติธรรมตั้งแต่เริ่มต้น การที่เพื่อนผมกินอุดมการณ์ในเรื่องนี้ ทำให้เพื่อนผมนั้นเองที่กลับกลายเป็นผู้ถูกเอาเปรียบ


ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมมีเรื่องที่จะต้องเดินทาง แต่ผมกลับไม่มีตั๋วเลย เพราะตั๋วสำหรับพาหนะที่ใช้เดินทางเต็มหมด จนพ่อของผมเลือกที่จะใช้วิธี ติดต่อกับคนรู้จัก ในท้ายที่สุด ผมกลับได้ต๋วสำหรับการเดินทางในชั้นที่ดีที่สุด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ผมกำลังเล่นเกมส์ที่ไม่แฟร์สำรับคนอื่น แต่ในทางกลับกันผมก็ปฏิเสธวิธีการนี้ไม่ได้อีกเช่นกัน


อะไรละคือสิ่งที่เราควรทำเพื่อให้เกิดความายุติธรรมขึ้นในสังคม เพราะถ้าเรายังใช้วิธีการเช่นนี้ กลุ่มบุคคลที่ยากจนในสังคมและไม่เคยมีโอกาสอยู่แล้วกลับจะจนลง และไม่โอกาสเลยที่จะลืมตาอ้าปาก ผิดกับกลุ่มคนชั้นกลางที่พยายามที่จะใช้โอกาสอันนั้นดึงทรัพยากรที่อยู่อย่างจำกัด มาใช้ให้ตัวเองเกิดประโยชน์มากที่สุด ผมคงไม่มีปัญญาตอบคำถามนี้หรอก และไม่มีปัญญาและอำนาจที่จะจัดการให้โลกใบนี้เกิดความยุติธรรมมากขึ้น สิ่งที่ทำได้ คือ การแบ่งปันโอกาส ความรัก และถ้ามีอะไรที่พอจะช่วยกลุ่มคนกลุ่มนี้ได้ ผมจะช่วยเค้าอย่างเต็มที่ เพื่อนของผมละ จะมีคำตอบกับการที่ทำให้สังคมมีความยุติธรรมมากขึ้นได้อย่างไรฯ ถ้าเราทำได้สังคม และโลกใบนี้ของเราคงน่าอยู่ขึ้น

Friday, April 27, 2007

คำพ่อ คำแม่


ผมค่อนข้างอมยิ้มในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เพราะผมได้เลือกช่วงเวลานี้ ในการอยู่กับครอบครัว ได้ใช้เวลากับพ่อ คุยเรื่องการใช้ชีวิตกับแม่ แม้ว่าจริงๆแล้วช่วงเวลาตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังพักเพื่อเติมไฟ ในการต่อสู้อะไรๆที่กำลังจะเข้ามาในชีวิต แต่เมื่อเพื่อนได้เห็นชื่อเรื่องที่ผมได้เขียนใว้ คำพ่อ คำแม่ กลับไม่ใช่คำพ่อ คำแม่ของผมนะครับ แต่กลับเป็นชื่อหนังสือ ที่เขียนโดยพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต)


ผมค่อยๆอ่านแม้ว่าภาษาที่ใช้เขียนอาจจะไม่ได้สวยงานอ่านไพเราะ แต่ผมกลับมองเห็นถึงหลักปรัชญาที่เขียนในหนังสือเล่มนี้ เช่น

"คิดก่อนพูด

ลูกรัก...ปากคนนั้นนำสุขมาให้ก็ได้ นำทุกข์มาให้ก็ได้ มีคำเตือนมากมายเกี่ยวกับปาก เช่นว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” เมื่อลูกคบหากับใคร ทำงานที่ไหนก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังให้มากคือปาก ท่านกล่าวว่า “จงเก็บปากไว้ที่ใจ อย่าเก็บใจไว้ที่ปาก” คืออยากพูดอะไรก็เก็บไว้ในใจ อย่าพูดทุกอย่างตามที่ใจคิด พูดมากโอกาสพลาดก็มีมาก พูดน้อยก็พลาดน้อย เมื่อจำเป็นต้องพูดก็ควรพูดอย่างมีสติ พูดพอประมาณ พูดอย่างสร้างสรรค์ ถูกธรรม และประกอบด้วยประโยชน์ ท่านบอกไว้ว่า “คำพูดที่ดังเกินไป คำพูดที่แรงเกินไป คำพูดที่เกินความจริง ล้วนฆ่าคนพูดผู้โง่เขลาได้ทั้งสิ้น”


ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งในเรื่องนี้และยังมีอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมีระเบียบวินัย เรื่องการหนักเอาเบาสู้ การใช้เงิน และอีกหลายเรื่อง ฯลฯ ยิ่งผมอ่านผมยิ่งรู้ว่าการที่จะเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์ต้องฝึกฝน และใช้ความเพียรในการชนะใจตัวเอง ซึ่งทำได้ยากมากแต่ถ้าเราผ่านด่านที่ยากที่สุดนี้ได้ ผมมั่นใจว่าเราคงไม่ตอ้งกลัวอะไรอีกแล้ว ลองเอาคำพ่อ คำแม่ บวกกับความเพียรในการชนะใจตัวเอง ผมอยากรู้จังว่าความสวยงานของการชนะใจตัวเองตจะสวยงามเช่นไรเรามาข่งกันมะ มาแข่งกันชนะใจตัเองเพื่อปฏิบัติตามคำพ่อ และแม่นั้นเอง

Friday, April 06, 2007

ยอมรับกับทุกสิ่ง......


ในการบันทึกของผมในครั้งก่อนเพื่อนๆคงทราบถึงการเจอปัญหา ผมได้แก้ไขปัญหาตรงนั้นไปอย่างเรียบร้อย และตั้งสติที่จะยอมรับกับทุกบทเรียนที่จะเกิดขึ้นกับผม ผมรีบสะสางปัญหา และจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วดังที่ใจตัวเองคิด ส่วนตัวของผม ผมไม่เคยกลัวปัญหาที่ตนเองสามารถแก้ไขและจัดการได้ เพราะผมคิดว่าไม่มีอะไรที่คนเราทำไม่ได้ ถ้ามุ่งมั่นและตั้งใจ เราก้อสามารถผ่านพ้นทุกสิ่งทุกปัญหาไปได้ แต่ผมลืมคิดไปว่า สำหรับบางเรื่องของชีวิต คนอื่นก้อเป็นคนตัดสินว่า เราจะเดินไปยังไงต่อ ปัญหาใหม่ของผมเกิดจากปัญหาที่ต้องรอการตัดสินใจของคนอื่นนั้นเอง


ผมเอางานที่ผมได้รับการแก้ไข ปิดรอยรั่ว และแก้ไขอย่างดีที่สุด ในมุมของผม ผมได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว ทั้งความตั้งใจ ความขยัน และความซื่อสัตย์ในการทำงานชิ้นนี้ ผมยังหวังเล็กๆว่าผลงานชิ้นนี้จะต้องสมบูรย์และเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ แต่แล้วความฝันของผมก้อพังทลายลง พังลงเพราะการตัดสินใจของคนอื่น ด้วยเหตุผลสั้นๆว่าไม่มีเวลา และต้องเดินทางท่องเที่ยว น่าผิดหวังจัง! ผิดหวังว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่และมีบทบาทในแต่ละบทบาท แต่เมื่อเราละเลย และคิดว่า ความสุขของตัวเองสำคัญที่สุด โดยคิดว่าการเร่งอะไรบางอย่างจะทำให้ตัวเองลำบาก แย่จัง แต่ผมก็เผื่อใจไว้แล้ว ว่าเหตุการแบบนี้ ไม่ได้เหนือความคาดหมายที่จะเกิดขึ้น เพียงแค่ผิดหวังกับคนเท่านั้น


ผมเริ่มคิดใหม่ คิดใหม่ให้ตัวเองมีความสุขขึ้น โดยการยอมรับและเปลี่ยนจุดประสงค์ไหม่ โดยในตอนแรกผมวางแผนว่าตลอดสงกรานต์ผมคงต้องหัวฟูกับการปั่นงาน แต่เมื่อ ผลออกมาเช่นนี้ ผมเลยเปลี่ยนแผนใหม่โดยใช้เวลาที่รอนี้ อยู่กับครอบครัว ท่องเที่ยวกับพ่อแม่ และสงกรานนี้เป็นช่วงเวลาที่ผม กับพ่อ แม่ พี่เอก และน้องนุช ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน รวมถึงบรรดาญาติที่เรามีนัดกันในช่วงเวลานี้ ก้อทำให้สงกรานต์นี้เป็นช่วงเวลาที่ดีของผมแทนที่จะหัวฟูกับงาน และที่สำคัญวิทต้องรีบให้อภัย กับคนที่เราไม่ได้ดังใจนะวิท ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเสมอ แค่เปิดใจยอมรับนะวิท และจงรู้ใว้ว่า โดยสถานภาพและหน้าที่ของตัวเองตัวเองต้องยอมรับในผลของผู้ที่ตัดสินเราจะตัดสิน จงก้มหน้า และพยายามต่อไปทำให้เต็มที่ที่สุด ยอมรับและจงก้าวเดินต่อไป....

Monday, March 26, 2007

หัดเดินใหม่



ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมอยู่ในภาวะที่หดหู่ หมดหวังและสิ้นหวัง ผมลืมทุกอย่างลืมการฝึกตัวเองที่ตนเองพยายามที่จะฝึกมาตลอดชีวิต สาเหตุของความทุกข์ผมคืออะไรหรือ คงเกิดจากสิ่งที่ผมคาดหวัง ส่วนตัวผม ผมเป็นคนปรานีปรานอมกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต แต่ในเรื่องของตนเองผมมักจะเข้มงวดและขัดใจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้ตัวเองได้ทำตามครรลองที่ได้วางไว้ น่าเสียใจแค่มรสุมลูกเล็กๆก้อทำให้ผมเสียสูญการทรงตัวได้เพียงนี้ ช่วงแรกของความทุกข์ผมเลือกที่จะคุยกับแม่ขอความรักและพลังใจ คุยกับพ่อเพื่อขอความเข้มแข็ง นอนแต่หัวค่ำ เพราะหมดแรงที่จะต่อสู้แ ต่ไม่ลืมที่จะสวดมนต์ก่อนนอน ผมนอนหลับด้วยความรู้สึกหมดแรง ตื่นมาอีกครั้งตอนตี 3 ขึ้นมาสวดมนต์อีกครั้ง

ความทุกข์เกิดจากอะไร เกิดจากเราคาดหวัง อยากให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างใจเราต้องการ แต่ในความเป็นจริงของโลกใบนี้ไม่มีอะไรหรอกที่ได้ดังใจเรา แต่ผมก้อยังโง่เขลา และจมอยู่ในความทุกข์แม้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นเช่นนั้นเอง ผมเริ่มรวบรวมกำลังใจ ทบทวนถึงปัญหาว่าคืออะไร แล้วเราจะทำอะไรต่อ ความทุกข์จะไม่ได้รับการแก้ไขถ้าเรามัวแต่ร้องให้และไม่ยอมที่จะลุกเพื่อก้าวเดินต่อไป ช่วงแรกผมรอแต่จะให้มือของคนอื่นมาพยุงผม ผมคิดถึงพ่อแม่ คิดถึงพี่และน้อง และคิดถึงผู้หญิงที่ผมหลงรัก แต่ม่ายเลย ทางออกคือผมต้องเดินเอง

ผมพลาดอีกอย่างนึ่งคือ ผมฟูมฟายมากไป ยิ่งเราพูดถึงปัญหามากเพียงไร ปัญหานั้นก้อจะทิ่มแทงใจเรามากขึ้นและไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ผมเริ่มยิ้มกับปัญหา และเปิดใจให้กว้างยอมรับกับผลลัพธ์ที่จะออกมา ผมเริ่มที่จะหัดเดินใหม่อีกแล้วนะครับ หลังจากหกล้มไม่เป็นท่าในครั้งนี้ ผมเริ่มมองรอบข้างมากขึ้น ผมมีความสุขสำหรับกำลังใจจากเพื่อนรักหลายคน ก้าวเดินก้าวใหม่ของผมคงมีความหมายและสวยงามมากขึ้น ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้น ที่ทำให้ผมได้หัดเดินเหมือนเด็กที่พึ่งหัดเดินอีกครั้ง

Saturday, March 10, 2007

To have or to be ?


เมื่อวานผมตั้งใจที่จะดูรายการทีวีรายนึ่งนะครับ เป็นรายการที่เชิญคุณส.ศิวรักษ์ มาพูดโดยส่วนตัวของผม ผมเป็นแฟนพันธ์แท้ ของส. ศิวรักษ์อยู่แล้ว ผมชอบในความเป็นนักวิจารณ์สังคม และไม่กลัวที่จะวิจารณ์คนต่างๆที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่ในบางครั้งเมื่อคำวิจารณ์เป็นคำวิจารณ์มาจากขอ้มูลข่าวสารที่ท่านผิด ท่านก็ออกมายอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าท่านได้ให้ข้อมูลที่ผิดพลาด เช่นในกรณีที่ท่านวิพากย์ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งภายหลังได้ออกมมาเป็นจดหมายขอโทษจากส. ศิวรักษ์ในท้ายที่สุด


ผมช่างใจที่จะต้องลงเรื่องราวที่ผมได้ยินจากรายการทีวีอย่างน้อยก้อเป็นการบันทึกของผมด้วยนะครับ ผมมีความเชื่อที่คล้ายกับส. ศิวรักษ์ในเรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งเพื่อนๆคงเห็นผมตั้งเป็นชื่อเรื่อง To have or to be ?ไม่ใช่ผมจะมาสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เพราะส่วนตัวผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้น แต่เรื่องนี้น่าสนใจกว่าเยอะเลย เพราะสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยมายาคติ To have คือ การยึดตัวตนเป็นจุดศูนย์กลาง การดำเนินชีวิตของเราจึงยึด ที่เราจะต้องมีอะไร เราจะต้องเก่งที่สุด และทับถมคนที่ด้อยกว่า เพื่อให้ตังเองคิดและอยู่เหนือคนทุกคน วิธีคิดแบบนี้น่ากลัวมาก เพราะแค่เราคิดว่าเราอยากมีอะไร เราก็เริ่มแนวคิดที่จะสะสม เมื่อคิดที่จะสะสมก้อเริ่มต้นด้วยการทำงานหนัก การพยายามเขี่ยคนอื่นให้ออกจากลู่วิ่งที่เราจะวิ่งขึ้นไปสู่เป้าหมายที่สูงสุด ฟังดูดูดีนะครับ ใช่ ดูดี แต่สำหรับการมองโลกของ'ส.ศิวรักษ์ ท่านมองว่าหนทางที่เราก้าวเดินนั้นเป็นหนทางที่ผิดและเป็นหนทางแห่งหายนะ เพราะเรากำลังสร้างศัตรู มองเพื่อนร่วมงานอย่างคนทีเป็นคู่แข่ง แล้วในท้ายที่สุดเราได้อะไรเมื่อเราตายจากโลกใบนี้? เปล่าเลยเราไม่ได้เอาอะไรจากของที่เราสะสมเกินพอดี นำติดตัวไปไม่ได้เลยแม้ซักชิ้นเดียว


การมีชีวิตแบบ to be อะไรคือสิ่งสำคัญ ไม่ยากเลย การมีชิวิตอยู่บนโลกนี้ซิ เป็นสิ่งสำคัญ เราอยู่ได้ด้วยลมหายใจที่หายใจเข้าและออกด้วยความรัก รักเพื่อนมนุษย์ที่อยู่อยู่ในโลกใบนี้เลิกที่จะสะสม และเข้าใจในคำพูดคำนึ่งที่ว่า เงินทอง คือ มายา ข้าวปลาคือ ของจริง ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ชีวิตที่สิ่งมหัศจรรย์รอเราอยู่มากมาย ในมุมมองต่างๆให้เราค้นหา มีอีกหลายสิ่งให้เราทดลองในเรื่องชีวิต แค่คิดถึงจุดหมายของชีวิตที่แท้จริงก้อเริ่มสนุกแล้ว เราได้เม็มความคิดทางตะวันตกมากไป ความคิดที่สร้างเงื่อนไขจอมปลอม ในการเอาเปรียบซิ่งกันและกัน น่าหัวเราะทีเรายังโง่เง่า และมีความสุขกับการใช้แนวคิดแบบนั้นเหมือนสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดูดีแต่ไม่ยั่งยืน


ผมมีความสุขที่ได้ดูรายการทีวีรายการนี้ ทำให้ผมมีไอเดียร์บางอย่าง ผมกำลังทดลองอะไรบางอย่างกับชิวิตนะครับ ซึ่งคงต้องทดลองจนชีวิตผมจะหาไม่ แล้วเพื่อนๆผมละลองคิดที่จะเปลี่ยนจากกรอบที่ใครก้อไม่รู้มาไส่ความคิดให้เรา ลองมาเป็นตัวของตัวเอง ซึมซับกับลมหายใจแห่งความรัก ความเมตตา ส. สิวรักษ์ น่าทึ่งจริงๆ

Saturday, February 24, 2007

เรามักจะละเลยอยู่เสมอ........


วันนี้ผมมีทั้งเรื่องที่มีทั้งความสุขและความรู้สึกเสียใจเกิดขึ้นพร้อมๆกัน โดยที่เรื่องทั้งสองนี้ทำให้ผมนั่งขบคิดและพิจารณาความรู้สึกทั้งสองที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน เพื่อนๆอยากฟังเรื่องอะไรก่อนดี แต่ผมอยากเล่าความสุขก่อนเพื่อเตรียมใจที่รับกับความทุกข์ที่ผมจะเล่าต่อไป


ความสุขของผมคงเกิดจากการที่ผมได้มีโอกาสได้ไปงานเลี้ยงวันเกิดของคุณอาผมเอง ม่ายใช่ว่าผมเห็นแก่กินนะครับ(อาจจะมีเหตุผลนิดนึ่งในข้อนี้) แต่ประเด็นหลักคือ ชีวิตในเมืองหลวงแม้ว่าเราอาจจะเป็นญาติที่สนิทสนมและห่วงใยกันอยู่เสมอแต่เราก้อละเลยที่จะใส่ใจต่อกัน เมื่อมีอะไรพิเศษเช่นในวันนี้ ผมก้อมีความสุขที่ได้รับประทานอาหารพร้อมเหล่าญาติๆของผมเอง ผมชอบรรยากาศของการมีครอบครัวใหญ่ การถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกัน จริงๆแล้วเราห่วงใยกันอยู่เสมอเพียงแต่เราละเลยการแสดงออกเท่านั้น การเริ่มต้นของชีวิตคุณอาผมเมื่อห้สิบกว่าปีก่อนได้สอนผมให้เห็นถึงความรักระหว่างพี่กับน้อง คือ ผมได้เห็นถึงความรัก การเป็นห่วงเป็นใยกันระหว่างคุณอาและคุณพ่อของผม การเรียนรู้จากพ่อแม่ทำให้ผมรู้ว่า การมีครอบครัวของพ่อแม่นั้น การที่ลูกอยู่ในกรอบที่ดีงามเป็นคนเอาถ่านแล้ว ความสมัครสมานกันระหว่างพี่น้องก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ผมไม่รู้หรอกว่าความรักระหว่างพี่น้อง เป็นอย่างไร แต่ผมรู้ว่าผมมักจะเป็นห่วงเจ้อยู่เสมอในเรื่องการทำงานหนัก และภูมิใจในตัวน้องนุช อาจารย์ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาของนักศึกษา แต่ผมก้อยังไม่รู้อยู่ดีว่าสิ่งนี้เรียกว่าความรักหรือเปล่า เมื่อรู้แล้วว่าความสุขของผมเกิดขึ้นแล้ว ความทุกข์ของผมก้อเริ่มตามมา


เพราะระหว่างที่ผมกำลังเรียนภาษาจีนผมก้อได้รับข่าวร้าย ว่าคุณแม่ของเพื่อนเสียชีวิต ผมอึ้งและตั้งสติ ที่ผมเสียใจเพราะ ผมทราบข่าวว่าคุณแม่ของเพื่อนเข้าโรงพยาบาล แต่ตลอด2เดือนที่ผ่านมาผมยุ่งกับการแก้ปัญหาทีสีสอย่างขมักเขม่น จนผลัดอยู่ตลอดว่า เดียวจะไปเยี่ยม เดียวจะไปเยี่ยม ในท้ายที่สุดผมก้อไม่ได้รับโอกาสอันนั้น ผมเสียใจบางเรื่องเป็นเรื่องที่เรารอไม่ได้ แต่เราก้อละเลย ละเลยที่จะผลัดวันอยู่เสมอ จนไม่มีวันนั้นให้ผลัดอีกแล้ว


วันนี้จึงเป็นวันที่ขัดแย้งกันมาก งานนึ่งก้อเป็นงานที่เมื่อ 50 กว่าปีก่อนคนๆนึ่งได้เริ่มต้น แต่อีกข่าวนึ่งก้อเป็นจุดจบของอีกนึ่งคน ชีวิตในท้ายที่สุดก้อคือ การไม่เที่ยงแบบนี้นี่เอง ผมคงต้องใส่ใจในเรื่องเล็กๆให้มากขึ้นแล้วละ เริ่มจากการคุยกับพ่อ แม่ให้มากขึ้น ให้กำลังใจ เจ้ และไซโคให้เจ้ดูแลสุขภาพ คุยกับน้องนุชให้มากขึ้น โทรหาญาติๆให้มากขึ้น เอาใจใส่เพื่อนสนิทๆ แต่สิ่งที่ยังทำไม่ได้ คือ การบอกรักผู้หญิงคนนึ่ง(เฮ้อ!กับอีแค่คำสั้นๆแต่วิทก้อไม่กล้าซักที่ เพียงแต่การแสดงออกด้วยความใส่ใจและแคร์)


เพื่อนละเคยมีความรู้สึกแบบผมหรือเปล่า หรือมีวิธีดูแลพ่อแม่อย่างไรลองเล่าให้ผมฟังบ้างนะ ผมอยากรู้จริงๆว่าทุกคนมีการแก้ปัญหาการละเลยนี้ได้อย่างไร?

Saturday, February 17, 2007

วันสบายๆ


ปกติทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ตอนเช้า ผมต้องไปเรียนภาษาจีนแทบทุกอาทิตย์ แม้จะเรียนภาษานี้มานานมาก แต่ยิ่งเรียนยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่าตัวเองโง่ลงๆ ยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่าเราไม่รู้อะไรเลย มาเข้าเรื่องเลยดีกว่าเพราะตรุษจีน ผมเลยได้หยุดไม่ต้องไปเรียนภาษาจีนในอาทิตย์นี้ ผมเลยรู้สึกว่าอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่พิเศษเสียจริงๆเพราะได้อยู่บ้าน เย้! ดีใจจัง ผมเลยได้ใช้ชีวิตในอาทิตย์นี้แบบค่อยละเมียดละไมกับสิ่งรอบตัวในตอนเช้า ค่อยๆกวาดลานบ้าน รดน้ำต้นไม้ นอนเอกเขนกดูทีวี ค่อยๆกวาดบ้านถูบ้าน ล้างห้องน้ำ รู้สึกดีจังที่ได้ทำให้บ้านสะอาดแบบค่อยๆทำและคิดอะไรไปเรื่อยๆ


อยู่ๆผมก้อได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทคนนึ่ง เสียงของเพื่อนบอกให้รู้ว่ากำลังมีความทุกข์นะครับ คุยไปคุยมาเลยรู้ว่าความทุกข์ของเพื่อนผมคือธุรกิจที่กำลังทำอยู่ยอดขายอาจจะไม่ดีเหมือนในอดีต สำหรับผม คงแค่รับฟังเท่านั้น ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด และผมไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจเลยผมก้อเลยแค่ฟังและคิดต่อยอดเท่านั้น


ผมนึกถึงข้อเขียนของท่านอาจารย์นิพนธ์ กรรมการวิทยานิพนธ์ของผม ที่เขียนไว้ในหนังสือรับปริญญาปีที่แล้ว ผมชอบข้อเขียนอันนี้มาก ที่บอกว่าเมื่อเราจบการศึกษาชีวิตเราจะต้องเลือก 2 อย่าง นั้นคือ ต้องเลือกทำงานว่าจะทำงานด้านไหน และต้องเลือกคู่ชีวิต

การทำงานก้อต้องเลือกว่าจะเลือกงานที่เสี่ยงน้อยแต่มีความมั่นคงผลตอบแทนต่ำ มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัว หรือเลือกงานที่เสี่ยงมาก ผลตอบแทนสูงทำงานหนัก ส่วนการเลือกคู่ จะเลือกคนสวย หรือคนมีเสน่ห์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้เลือกเพราะรักไม่ใช่เลือกด้วยความไคร่ผมชอบประโยคนี้ของอาจารย์ซะจริง


มาคุยกันต่อการคุยกับเพื่อนทำให้ผมนึกถึงแม่ แม่มักจะพูดเสมอว่าอย่าทำอะไรเกินตัว และสอนให้คิดหน้าคิดหลังให้ดีที่สุดเมื่อจะทำอะไรโดยเฉพาะในเรื่องการลงทุน พอมองเห็นแล้วใช้ไหมครับแม่ผมไม่ชอบความเสี่ยง แม้ว่าผลตอบแทนต่ำแต่แน่นอน ผมเห็นด้วยกับแม่นะครับ เมื่อจะทำอะไรเราต้องคิดว่าถ้าเกิดการพริกผัน เราจะควบคุมสิ่งนี้ได้หรือเปล่า ผมคิดในมุมของคนที่คิดที่จะไม่พึ่งคนอื่นนะครับ เมื่อคิดรอบคอบทั้งทางบวกและลบ และวางแผนที่จะจัดการกับผลลัพท์ที่จะออกมาผมเชื่อว่าว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้


แต่ความทุกข์ของคนเรามักเกิดจากการสร้างเงื่อนไข คือยังไม่มีความพร้อมก้อคิดจะทำโน่นทำนี่ เช่นรายได้ยังน้อยอยู่แต่ก้อยังดันทุรังที่จะซื้อบ้านและรถ เมื่อมีเงื่อนไขเป็นตัวตั้ง ทำให้ต้องหาเงินไห้ได้ตามเงื่อนไข แทนที่จะคิดว่ารายได้เท่านี้จะใช้จ่ายอะไร ทำให้เราก้อยังเจอกับความาทุกข์อยู่เสมอเมื่อเกมส์ทางการเงินกำลังเล่นงานเราอยู่


การที่ผมพูดมายืดยาวขนาดนี้ก้อเพื่อบอกว่าการมีรายได้ที่สูงก้อใช่ว่าชีวิตของคุณจะไม่มีอุปสรรคทางการเงิน ขึ้นอยู่กับว่าคุณสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองมากน้อยแค่ใหนนั้นเอง


ผมปลอบเพื่นว่าเรายังอายุยังน้อยอยู่การผิดพลาดและหกล้มจะทำให้เราเข้มแข็งและละเอียดรอบคอบมากขึ้น แต่ผมคงไม่มีหน้าไปพูดถึงในเรื่องเงื่อนไขของชีวิตหรอกเพราะทุกคนต่างมีรสนิยมที่ต่างกันและผมเคารพในการเลือกใช้ชีวิตของเพื่อนผมเสมอ สู้ต่อไปนะเพื่อน


วันสบายๆของผมแม้ว่าจะมีงานบ้านเยอะเลยแต่ผมก้อคิดถึงการดำเนินชีวิตได้อีกเช่นกัน

Wednesday, February 07, 2007

สองข้างทางแห่งความสุข


การเดินทางในชีวิตประจำวันของผมคงเกิดขึ้นตั้งแต่เช้า ผมว่ามนุษย์โดยธรรมชาติต้องตื่นแต่เช้าและนอนแต่หัวค่ำ ทำงานเยอะๆตั้งแต่เช้าและพักผ่อนออกกำลังกายในตอนเย็น ทานอาหารที่มีประโยชน์ ได้หัวเราะและยิ้มให้กับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต แม้ว่าสิ่งนั้นอาจทำให้ผมเหนื่อยแต่ผมไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว ก้อแค่เซ็งๆ แล้วก้มหน้าก้มตาสู้ต่อไป โดยภารกิจที่ทำให้หัวฟูอยู่เสมอในช่วงนี้เลยทำให้การกลับบ้านค่อนข้างกลับบ้านเย็นพอสมควร

แต่สิ่งนี้ก้อไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกลำบากใจ ผมดีไซน์ชีวิตช่วงกลับบ้านเพื่อให้ตนเองได้พักผ่อนและผ่อนคลายกับภาพชีวิตที่ผมได้ผ่านพบ ผมเลือกที่จะเดินเท้าจากธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า สูดอากาศยามเย็นให้เต็มปอด การเดินต้องดูทิศทางลมนะครับ เพื่อว่าเราจะไม่ต้องสูดควันพิษ ผมได้ไอเดียร์อย่างนึ่งนะครับ เมื่อเห็นพระอาทิตย์ตกดิน ชีวิต คือการทำหน้าที่ เพราะตอนเช้าพระอาทิตย์ดวงเดิมนี้ก้อจะขึ้นมาให้แสงสว่างอีกครั้ง พอหมดแรงในตอนเย็นก้อกลับไปพักผ่อนแต่ไม่เคยเลยที่จะหยุดทำหน้าที่

สองข้างทาง ผมยังเหลือบไปเหลือบเห็นเด็กตัวเล็กๆช่วยแม่ขายของบ้าง ช่วยแม่ล้างแก้วล้างจานบ้าง ผมคิดนะครับว่า ถ้าผมเป็นพวกเค้าผมคงภูมิใจที่ได้แบ่งเบาภาระพ่อแม่ และรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร และได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ความสุขของมนุษย์ คือ อะไรกัน บ้างก้อบอกว่าฉันจะต้องเป็นคนที่รวยที่สุด เป็นคนที่เก่งที่สุด อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด ถ้าถามผมผมคงบอกว่า ความสุข คือการได้สังเกตุชีวิต ได้ทำหน้าที่ในทุกหน้าที่ให้ดีที่สุด ได้ยิ้มและมองโลกแห่งความเป็นจริง ได้อยู่กับคนที่เรารัก และอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น แค่นี้ก้อคงพอแล้ว.........สองข้างทางกลับบ้านของผมก้อเป็นความสุขเหมือนเช่นทุกๆวันอย่างนี้นี่เอง

Wednesday, January 24, 2007

น้อยใจ.........


น้อยใจอาจจะคำที่แสดงความรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้รับความพอใจบางอย่าง โดยส่วนตัวของผมแล้วผมมักไม่ค่อยน้อยใจใคร ยกเว้นคนในครอบครัว หรือเพื่อนที่สนิท ถ้าคนๆนั้นได้รับการแสดงความน้อยใจจากผม นั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าผมเริ่มให้ความสำคัญกับคนๆนั้น

การน้อยใจเกิดจากการทำวิทยานิพนธ์ของผมนั้นเอง การเดินทางของวิทยานิพนธ์ของผมได้เดินทางผ่านการเก็บข้อมูลอย่างเหนือยแต่แฝงไว้ด้วยความสนุก เหตุของการน้อยใจของผมเริ่มจากตรงนี้เอง ด้วยนิสัยการเป็นคนไม่ง้อใคร เพราะผมคิดว่าทุกอย่างในชีวิตของเรานั้น เราสามารถจัดการได้ เพียงแต่ว่าถ้ามีคนมาช่วย ก้อทำให้เราเบาแรงลง ผมจึงแค่ชวนผองเพื่อนและน้องๆมาเก็บข้อมูลกับผม แต่ก้อไม่ได้จำจี้จำไชนะครับ เพราะผมรู้ว่าทุกคนต่างมีภาระและมีสิ่งที่ต้องทำกันทุกคน

แต่สวรรค์ก้อคงไม่กลั่นแกล้งผมซะทีเดียวอยู่ๆก้อมีเพื่อนหน้ามล ก้าวเข้ามาบอกว่าเราจะช่วยแกเอง เพื่อนคนนั้น คือนายโอมนั้นเอง ผมซาบซึ้ง และขอบคุณ ผมรู้ว่าเพื่อนคนนี้ต้องลำบากตื่นแต่เช้า และออกจากบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อให้มาตามนัดตรงเวลา และยอมเสียโอกาสการบริหารงานโรงแรมย่านปทุมธานี ซึ่งโอมก้อเป็นหัวแรงใหญ่ในการช่วยธุรกิจที่บ้าน แต่เพื่อนรักของผมคนนี้ก้อบอกเสมอว่าเราจะช่วยแก

น้องหลีดเป็นน้องที่ผมต้องขอบคุณมากๆที่อุตสาห์มาช่วย ทั้งยังต้องอดทนในความไม่ได้ดังใจของแม่ค้าบางคน รวมถึงน้องลพ ที่ผมซาบซึ่ง เพราะในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเก็บข้อมูลที่วงเวียนใหญ่ ก้อได้รับสายจากลพบอกว่าพี่อยู่ใหนเดียวผมไปช่วยเก็บนะ แค่นี้น้องคนนี้ก้อได้ใจผมไปแล้ว อีกคน คือ ม๊าย น้องที่นิสัยดีที่มาช่วยผมเสมอทำให้งานเสร็จอย่างรวดเร็วขึ้น ด้วยคำพูดที่ว่าสงสารพี่วิทเลยมาช่วย แค่นี้ผมก้อโอเลยนะม๊าย

การเก็บข้อมูลของผมเสร็จแล้ว ผมเลยมีไอเดียร์ ที่จะจัดปาร์ตี้เล็กๆสำหรับพวกเรา ในเมื่อตอนที่ทุกข์ ทุกคนก้อมาร่วมแรงร่วมใจมาช่วยเหลือกัน เมื่อมีความสุข เราก้อน่าจะเสพย์ความสุขร่วมกัน ผมนัดหมายทุกคนกันที่ฟอร์จูน เพื่อไปทานอาหารญี่ปุ่นที่ร้าน คุโรดะ ย่าน อาร์ซีเอ ที่ผมเลือกร้านนี้เพราะเป็นร้านอาหารที่อร่อยและที่สำคัญเป็นบุฟเฟ่ ไม่ต้องมานั่งเกรงใจกัน ว่าอยากกินอะไรก้อสั่งกันไป อาหารก้อถือว่าอร่อยทีเดียว ผมน้อยใจว่าน้องลพ และน้องม๊ายไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้ เหตุผลของน้องลพฟังขึ้นเพราะมีเรียนกะทันหันแต่ผมก้อเข้าใจลพว่าเกรงใจผม ส่วนม๊ายกลับไม่รับสายผม ในวันนัดในวันนี้ ผมรู้ว่าน้องทุกคนนิสัยดี และเกรงใจว่าผมอาจจะต้องจ่ายแพง แต่ในมุมของผม เมื่อผมบอกกับใครว่าไปกินข้าวกันผมเลี้ยงเอง ความรู้สึกของผมคืออยากเลี้ยงคนๆนั้นจริงๆ อยากขอบคุณ และโดยส่วนตัว ผมประเมินตัวเองอยู่แล้ว ว่าผมจะเลี้ยงเพื่อนๆในระดับใหนที่ผมคิดว่าผมไม่ลำบากและเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะมอบให้ วันนี้ผมยังแจกสินนำใจเล็กๆน้อย ที่ทุกคนอุตสาห์มาช่วยผม ทุกอย่างมีต้นทุนเสมอ การที่เพื่อนมาช่วยผม เพื่อนย่อมเสียโอกาสในการทำงานอย่างอื่น เหตุน้อยใจเกิดขึ้นตรงนี้เอง แอบงอนเล็กๆ ที่น้องม๊ายเบี้ยวผมนั้นเอง

แต่หลังจากกลับมาถึงมหาลัยก้อเจอน้องลพ ผมบอกลพว่าจงรับ อะไรเล็กน้อยจากผมนะ กว่าจะกล่อมให้ลพรับได้ก้อเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะ แต่ผมมีความสุข ที่เป็นผู้ได้มอบสิ่งที่คนๆนั้นควรได้รับ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆก้อตาม แต่ก้อเป็นน้ำใจจากผมนะน้องลพ

ส่วนม๊ายยังไม่เจอแต่คิดว่า เมื่อเจอกันจะต้องบ่นน้องคนนี้ซักหน่อย ว่าสัญญากับเราไว้แล้วว่าจะไปปาร์ต้ด้วยกันในวันนี้แต่มาเบี้ยวกันได้ แล้วววววไว้เจอกันน้องม๊าย

Tuesday, January 16, 2007

Crying out Love, in the Centre of the World :พร่ำหัวใจเพรียกหารักที่กลางโลก


ความรักจะอยู่กับเรานานแค่ใหนกันนะ เป็นวลีที่ผมตั้งคำถามจากการได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนครับ ดูแบบไม่ค่อยทราบซึ้งในความสวยงาม ในโครงเรื่องอาจจะเป็นเพราะวันนั้นเป็นวันที่ดูค่อนข้างฉุกละหุกในหลายๆเรื่อง จนเมื่อผมได้ไปเดินครองถม และลองซื้อหนังเรื่องนี้มาดูอีกครั้งหนึ่งไม่ต้องแปลกใจเลยว่าการดูครั้งที่สองของผมกลับทำให้ผม ประทับใจ เจ็บปวด และลุ้นว่าในท้ายที่สุดบทสรุปของเรื่องนี้จะจบลงเช่นไร

เรื่องดำเนินไปในตอนแรก โดยมีพายุใต้ฝุ่นหมายเลข 29 ได้พัดเข้าสู่เกาะคิวชู ซึ่งใต้ฝุ่นลูกนี้เป็นปมของเรื่องได้เป็นอย่างดีเพราะเมื่อ 17 ปีก่อนพระเอกของเรื่องได้เกิดความรักขึ้น และความรักไม่สมหวัง การพัดมาของใต้ฝุ่นก้อทำให้ริทซึโกะ ต้องทำภารกิจสุดท้ายคือการนำเทปคาสเส็ตกลับไปให้เจ้าของโดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มที่เค้าตามหาก้อคือ คู่หมั้นของเค้านั้นเอง

การดำเนินเรื่องราว ใช้การบันทึกเสียงในเทปคาสเส็ตส่งหากัน ระหว่าง อากิ และ ซากุ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สวยงามมาก ผมเคยคิดกับตัวเองว่าเมื่อผมได้เจอผู้หญิงที่ผมมั่นใจว่าจะแต่งงานด้วย ผมจะเขียน ไดอารี่หาเค้าทุกวันนะ ซึ่งเมื่อมาดูเรื่องนี้ทำให้เติมเต็มความคิดของผมในเรื่องการเขียนไดอารี่ยิ่งจขึ้นนะครับ การเล่าเรื่องทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ ความรักของทั้งสองในช่วงเวลานั้น ทำไมความรักช่างดูสวยงานและยิ่งใหญ่เหลือเกินนะ ชักอยากจะลองมีความรักบ้างจัง

ความสวยงามของความทรงจำ การผูกเรื่องได้อย่างงดงาม การใช้สัญลักษณ์ ความรักที่ยืนยงและความทรงจำเก่าๆ โดยชายเจ้าของร้านถ่ายรูป สัญลักษณ์ของของอากิสาวคนรักเก่า กับซากุที่เคยไปพักยังบ้านร้างบนเกาะแห่งหนึ่งทำให้ผมพอทราบว่าความรักของทั้งสองจะไม่สมหวัง

ผมทราบซึ้ง และคิดถึงตัวเองว่า ความรักของตัวเองไม่เคยหายไปไหน ยังอยู่ในใจของผมแต่สิ่งเหล่านี้ คือ บทเรียนให้ผมได้ก้าวเดินต่อไป เพื่อนๆละดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ผมรับประกันได้ว่าทุกคนจะมีความสุขเมื่อได้เสพย์หนังเรื่องนี้ ขอให้มีความสุขกับการได้ดูหนังเรื่องนี้นะครับ