Thursday, September 23, 2010

แสงสว่าง

เทอมนี้ผมได้รับมอบหมายให้สอนนักศึกษาในวิชาเลือก โดยส่วนใหญ่นักศึกษาที่เรียนมักเป็นนักศึกษาชั้นปี 3และ 4 การเปิดวิชาเลือกอย่างกะทันหันทำให้มีนักศึกษาหลายคนไม่สามารถเรียนได้ในเวลาปกติ ผมเลยสละเวลาช่วงเย็นสอนหนังสือพวกเขา นั่นย่อมทำให้ตลอดวันจันทร์ถึงวันพฤหัส ผมต้องสอนหนังสือจนมืดทีเดียว

ทุกสิ่งทุกอย่างยังปกติ จนเริ่มมีข่าวลือ ว่าแม่บ้านที่คณะเศรษฐศาสตร์เจอผี โดยสถานที่ที่เจอคือห้องที่ติดกับห้องที่ผมสอน แน่นอนผมเชื่อว่าเรื่องที่ได้ยิน เป็นเรื่องโคมลอยและไม่จริง และผมก็ไม่ใช่คนกลัวผี

ทุกเย็นเมื่อสอนเสร็จผมจะเป็นคนปิดไฟและล็อกห้อง ในวันหนึ่งขณะที่ผมปิดไฟในห้องเรียน ห้องเรียนมืดมาก ในใจของผมเกิดความกลัวโดยไม่รู้สาเหตุ อย่างหนึ่งคือกลัวผีขึ้นมา ผมรีบล็อกห้องและเดินไปจากห้องนั้นอย่างรวดเร็ว

ในวันต่อมา ผมเริ่มที่จะพกไฟฉายตัวเล็กๆติดตัวไปด้วย  เมื่อสอนเสร็จก็ปิดไฟและล็อกห้องตามปกติ การมีไฟฉายให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ความสว่างทำให้ความกลัวของผมหมดไป ผมเริ่มไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ความกลัวคืออุปทานที่เราสมมติให้เราเกิดความกลัว ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่เคยมีอยู่จริง แต่เมื่อเรามีปัญญา ซึ่งเปรียบเหมือนไฟฉายที่ส่องในความมืด อุปทานต่างๆก็หายไป กลายเป็นความเข้าใจว่า ความกลัวเกิดจากสิ่งที่เราสร้างอุปทานขึ้นมาเอง

ขอบคุณปัญญาทีทำให้ผมรู้ว่า ทุกสิ่งเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองทั้งนั้น โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย จงเดินหน้า และก้าวข้ามทุกอย่าง เพื่อที่จะได้ทำประโยชน์ต่อไป

Friday, June 04, 2010

ภาพลวงตา

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผมเกิดความทุกข์บางอย่าง ความทุกข์ของผมเกิดจากการมุ่งมั่นที่มากเกินไป และใส่ใจกับคำพูดและการกระทำของผู้ที่แสดงว่าหวังดีแต่มีเจตนาร้าย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ ช่วงเริ่มต้นการทำงานในช่วงสองปีก่อนผมมุ่งมั่นและคิดว่าการที่เป็นครู ผมต้องถ่ายทอดความรู้ให้ดีที่สุด  แต่ในความจริงการเริ่มต้นทำงานในทุกๆงานเป็นธรรมดาที่การเริ่มต้นอาจไม่ดีนัก สิ่งที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้และค่อยๆพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่ในช่วงเวลานั้นผมได้เจอเพื่อนผู้หวังดีแต่มีเจตนาร้าย คอยยุแยง และบอกว่าก่อนหน้านี้คนอื่นเค้าสอนดีนะ เด็กไม่ตกขนาดนี้ ความทุกข์เลยเกิดขึ้นกับผม

ในช่วงเวลานั้นผมโง่เขลาเกินกว่าที่จะรู้จักคำว่าอุเบกขา นั่นคือ ถ้าเราทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างดีที่สุดแล้ว ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ผลลัพธิ์ของมันจะเป็นอย่างไรขอให้เรียนรู้และปรับปรุงให้ดีขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ให้เอามาเป็นความทุกข์ รวมถึงในช่วงเวลานั้น ผมมีความขัดแย้งในเรื่องวิชาการที่ไม่ตรงกันกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ผลลัพท์ส่งผลให้นักศึกษาที่ควรจะได้รับเกรดเอ จากความมุ่งมั่นและพยายาม กลับทำให้เกรดของเค้าได้แค่บี ช่วงนั้นผมมักโทษตัวเองว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากผม ความเป็นครูทำให้เราเสียใจ การเป็นครูคือความรักและความมีเมตตาที่มีต่อเด็กๆ แต่การที่บางฝ่ายอยากเอาชนะ และส่งผลต่อนักศึกษามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือสำหรับความเป็นครู ผมเรียนรู้บทเรียนในวันนั้น และเข้าใจว่าคนเราเป็นแบบนี้เอง มีอีโก้และคิดว่าโลกใบนี้ ตัวเองเก่งที่สุด ความอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้นที่นำมาสู่ความสำเร็จ

ผมทุกข์อยู่ถึงเกือบหนึ่งปีจากเหตุการณ์ดังกล่าว จนวันหนึ่งผมได้ทบทวนและคิดไตร่ตรองบางอย่าง ว่าโลกใบนี้คือสิ่งสมมติเท่านั้น ตัวของผมคือสิ่งสมมติ ตัวของเพื่อนก็คือสิ่งสมมติเช่นกัน แล้วนี่เรากำลังโง่กับสิ่งสมมติหรือนี่ที่ทำให้เราทุกข์ ผมเริ่มยิ้มออกกับภาพลวงตาอันนี้และเข้าใจ จนให้อภัยกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น คนเราก็มาเล่นเกมส์แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้นและก็ลาจากโลกนี้ไป ทำไมผมไม่เล่นเกมส์ครั้งนี้ให้สนุกละ จะมาแบกโลกอยู่ทำไม และจะใช้เวลาที่อยู่บนโลกใบนี้ให้มีค่าและมีความหมายที่สุด ยามใดที่มีความทุกขืก็จงรู้ใว้ว่าโลกคือภาพลวงตาและเป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้น ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเล่นเกมส์บนโลกใบนี้

Tuesday, April 13, 2010

ครอบครัว

ผมคงเริ่มต้นการเขียนบันทึกนี้ด้วยการกล่าว สวัสดีวันสงกรานต์กันก่อนนะครับ ในช่วงเวลาสำคัญในแต่ละปี คือสงกรานต์และปีใหม่ แน่นอน ผมมักใช้เวลาอยู่กับครอบครัวที่นครศรีธรรมราช การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้ความรู้สึกที่อบอุ่นใจให้ผมเสมอ ถามว่าการอยู่กับครอบครัวนี่สนุกตรงใหน

ในความคิดของผมครอบครัว คือ สิ่งที่สำคัญมาก เป็นแบคอัพที่ทำใหเราไม่กลัวที่เผชิญสิ่งต่างๆที่อยู่นอกบ้าน เพราะเรารู้ว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราจะได้รับกำลังใจ และแรงใจจากคนในครอบครัวอย่างแน่นอน

การได้ทานอาหารฝีมือคุณแม่ ก็เป็นความสุขของผมเช่นกัน รสชาติเก่าๆ และความทรงจำที่มีค่าเกิดขึ้นช่วงนี้นี่เอง พอทานข้าวเสร็จก็จะสำนึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน ฝีมือแม่ยิ่งกินยิ่งอร่อย แต่ไม่ดีที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่ไม่เป็นไร ค่อยไปตีแบด และจ็อกกิ้งให้มากขึ้น

ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ผมชอบ คือช่วงเวลาทานอาหารเย็น บ้านเราจะทานข้าวกันนานมาก โดยคุยกันเรื่องต่างๆ รวมถึงถ้าอาๆมาจาก กทม การพูดคุยในมื้อเย็นจะออกอรรถรสเอามากๆเลยนะ

ผมมองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความสุขที่ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องไปแสวงหาจากการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลให้เหนื่อย ความสุขแบบนี้ผมจะจดจำและจะพยายามให้ครอบครัวในอนาคตของผมมีความสุขเช่นเดียวกัน ขอบคุณครอบครัวที่ได้ความสุขกับผมในวันนี้เพื่อผมจะได้มอบความสุขให้กับคนอื่นต่อไป

Monday, February 15, 2010

ความแตกต่างของชนชั้น


เสียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆๆ กำลังดีใจเอามากเมื่อเจอน้องนุช น้องสาวของผม ผมไม่แปลกใจที่ทำไมเด็กผู้หญิงคนนั้นจึงดีใจอย่างมากเช่นนั้น


ครอบครับของพวกเราเริ่มรู้จักน้องบีม เมื่อประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา การพัฒนาเศรษฐกิจที่ทำให้คนบางกลุ่มร่ำรวย แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศกลับยากจน จึงทำให้ครอบครัวของเรารู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้


บีมย้ายตามครอบครัวซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่เชียงราย ความยากแค้นทำให้ต้องย้ายที่อยู่อาศัยมาทำงานที่นครศรีธรรมราช และมาเช่าบ้านไกล้กับบ้านของพวกเรา เริ่มต้นบีมเป็นเด็กที่ไม่ค่อยชอบไปโรงเรียนนัก เพราะเรียนไม่รู้เรื่อง น้องสาวของผมจึงเป็นครูจำเป็นโดยการสอนคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษให้กับบีมทุกวัน ผลคือบีมเริ่มเรียนทันคนอื่น


หลายครั้งที่พวกเราต้องเดินทางโดยเครื่องบิน บีมมักจะฝันเสมอว่าอยากไปส่งหรือไปรับพวกเรา ผมเข้าใจความฝันวัยเด็กของเค้า บีมคงอยากเห็นเครื่องบินไกล้ๆนั่นเอง


มันเป็นความฝันของผมที่เป็นไปได้ยาก ผมอยากให้คนในประเทศมีความเท่าเทียมกันมากกว่านี้ ผมอยากเห็นเด็กตัวเล็กเช่นบีม ได้สนุกตามวัยของเค้าในภูมิลำเนาที่เค้าควรอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัว


ผมอยากให้การศึกษาทำให้เด็กทุกคนมีความสุข ที่จะได้ไปโรงเรียน และที่สำคัญเมื่อเค้าไปโรงเรียนแล้วเค้าควรจะได้รับความรู้และคุณธรรมจากครูที่สอนเค้า


หรือเรื่องที่ผมกำลังคิดเป็นแค่ความฝันเท่านั้น?

Saturday, February 13, 2010

ต้อนรับวันวาเลนไทน์

ปีนี้วันวาเลนไทตรงกับวันอาทิตย์ และเป็นช่วงที่ผมปิดคลาสการสอนทุกอย่างได้เสร็จสิ้น อาทิตย์นี้จึงเป็นอาทิตย์ที่ผมรู้สึกสบายๆอาทิตย์หนึ่ง ผมเลยวางแผนว่าวันแห่งความรักในปีนี้จะใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่และคนในครอบครัวที่นครศรีธรรมราช



กิจกรรมแรกที่ผมกลับถึงบ้าน พ่อและแม่ น้องนุชและผมเราตรงดิ่งไปเยี่ยมคุณยายที่ปัจจุบันอายุ 102 ปีแต่ยังแข็งแรงอยู่มาก การได้เยี่ยมคนที่สูงอายุเป็นกิจกรรมที่ผมชอบมากนะครับ การได้คิดถึงช่วงเวลาที่คุณยายได้มองเห็นกิจกรรมที่เปลี่ยนไปในช่วงชีวิต ก็คงทำให้คุณยายผมคงพิสวงกับโลกใบนี้ทีเดียว ในครั้งหนึ่งขณะที่ผมกำลังเดินทางไปต่างประเทศ คุณยายกลับถามผมว่าคงต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายปีทีเดียวกว่าจะถึงประเทศนั้น เพราะในยุคคุณยายการเดินทางไม่ใช่สะดวกเหมือนในปัจจุบัน แค่นี้ก็ทำให้ผมอดอมยิ้มและมีความสุขนะครับ



กลับถึงบ้าน ผมลืมสนิทที่ว่าตนเองกำลังลดความอ้วน แม่ทำอาหารจานโปรดรออยู่มากมาย ผมก็ไม่ลังเลที่จะทานอาหารอย่างเต็มที่เช่นกัน เฮ้อ วิท คงกว่าจะลดน้ำหนักเท่าเดิมคงออกกำลังกายอีกเยอะเลยนะ



การได้กลับบ้านของผม คือ การปลีกวิเวก ได้อยู่กับตัวเอง ได้อยู่กับบรรยากาศที่เงียบสงบในต่างจังหวัด

ได้เดินออกกำลังกายช้ากับน้องนุช ได้พูดคุยกันในหลายๆเรื่อง ได้ดูแลคุณย่าที่ป่วยอยู่ ได้อ่านหนังสือที่ชอบ



ในช่วงนี้มีเพื่อนของผมหลายคนที่มักโทรมาบ่นมายังไม่มีแฟนรู้สึกเหงาจัง ผมฟังพวกเขาพูดด้วยรอยยิ้ม และตอบไปว่าความรักไม่ใช่มีแต่รูปแบบของคนรักเท่านั้น ยังมีความรักรูปแบบอื่นที่ทำให้เรามีความสุข และที่สำคัญการที่เรามีความรักความเมตตามอบให้กับทุกคนในทุกวัน ผมว่าความรักรูปแบบนี้ดูยิ่งใหญ่และวิเศษมากกว่าทีเดียว



สุขสันต์วันแห่งความรักครับ

Monday, January 25, 2010

อิ่มบุญ


ความโชคดีหลายๆอย่างของผมที่ได้ทำงานที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อย่างหนึ่งคือ การได้เจอกัลยาณมิตร ที่ชักชวนให้สนใจธรรมะ และได้ร่วมปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ผมยังจำการเริ่มต้นในชมรมธารใจครั้งแรกได้นะครับ

เริ่มต้นจาก อ.เจริญ สังข์ทอง เพื่อนรักแห่งจิตปัญญาศึกษา สถาบันสันติศึกษา ม.สงขลานครินทร์ได้ชักชวนผมว่า ตอนนี้อ.นัธมน แห่งคณะทันตแพทย์ศาสตร์ ต้องการทีมงานเพื่อทำงานในด้านที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ผมไม่ลังเลใจที่จะช่วยงานดังกล่าว

งานแรกที่ผมได้เข้าร่วม คือ การเข้าฟัง อ.สนอง วรอุไร ที่ทางชมรมเชิญมาบรรยายธรรมที่คณะทันตะฯ แม้งานนั้นผมอาจจะไม่ได้ทำงานอย่างเต็มตัวนัก แต่การได้ฟังธรรมจากนักปราชญ์ ก็ทำให้ผมเกิดปิติ มีความสุขจากการได้ฟังธรรม

เมื่อมีโครงการใหม่ๆเกิดขึ้น ผมไม่ลังเลที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้ดำเนินงานอย่างเต็มตัว นั่นคือ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมได้เป็นกรรมการโครงการน้อมนำธรรมสู่ชีวิต โดยเชิญพระอาจารย์สมยศ จากจ.ชัยนาท มาแสดงธรรม การได้ฟังธรรมในครั้งนี้ ทำให้ผมมองเห็นความจริงบางอย่าง รวมถึงสุขที่แท้จริงจากการปฏิบัติธรรม

เมื่อโครงการนี้จบลง ผมมีความสุขที่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์และเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งผมจะมีดวงตาเห็นธรรมและอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข

Wednesday, January 13, 2010

ตั้งคำถาม


วันนี้ผมเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสัมภาษณ์นักเรียนที่สอบตรงเข้า ยังคณะเศรษฐศาสตร์ นักเรียนหลายคนมีประวัติ  และกิจกรรมที่น่าสนใจมาก ผมมองกิจกรรมที่พวกเขาทำในช่วงมัธยมว่ากิจกรรมเหล่านี้นำมาซึ่งความสุข และการสำนึกในคุณค่าที่ตัวเองได้ทำกิจกรรมต่างๆ

แต่ผมกลับสังเกตพบว่า เหตุใดเมื่อนักเรียนเหล่านี้เข้ามาในมหาวิทยาลัย กิจกรรมต่างๆซึ่งเคยนำมาซึ่งความสุขให้พวกเขากลับลดลง บางคนเข้ามาเป็นนักศึกษาปี1 เป็นนักศึกษาที่น่ารักและตั้งใจเรียน แต่เมื่อปีสูงขึ้นพวกเขากลับเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง

เกิดอะไรขึ้นในระบบการศึกษาของเรา การศึกษาของเราไม่ได้ช่วยเน้นให้พวกเขาพัฒนาความสามารถที่ตัวเองมีให้เก่งยิ่งขึ้น หรือให้เขาได้ทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจให้ก่อประโยชน์มากขึ้น

เรากำลังเน้นคนที่เรียนเก่งที่สุด แต่อาจมีความสุขในชีวิตน้อยที่สุด นี่เป็น.โจทย์ที่สำคัญ และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน นักศึกษาบางคนไม่เข้าใจในเรื่องของหน้าที่ คือการตั้งใจเรียนให้มากที่สุดแต่กลับคิดถึงความสูงส่งที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย

น่าสงสารแนวความคิดแบบนี้จัง เราเลยเจอคนที่จะคิดถึงเฉพาะตัวเองเสมอ ผมอยากฝากไว้ว่าหนทางที่เราเล่าเรียนนั้น น่าจะเป็นหนทางที่ทำให้เรามีความสุข ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ และยิ่งความรู้
มากขึ้นตัวตนของคนนั้นควรจะเล็กลง

เพราะหนทางที่เราเล่าเรียน คือ การรับใช้ประชาชนนั้นเอง