Monday, April 30, 2007

Fair or Unfair


ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมมีคำถามที่ถามกับตัวเองอยู่เสมอว่า โลกใบนี้มีความยุติธรรมหรือไม่ หรืออย่าหวังเลยว่าบนโลกใบนี้ จะมีความยุติธรรม การที่ผมตั้งคำถามแบบนี้เพราะในวิชาเศรษฐศาสตร์ที่พรำสอนเรานั้น จะต้องมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากร โดยการจัดสรรทรัพยากรนี้อาจขาดซึ่งความยุติธรรมนั้นเอง


เพื่อนรักของผมปฏิเสธที่จะใช้วิธีการสมัครงานแบบมีคนฝากฝัง เพราะเพื่อนผมคนนี้บอกว่า การใช้วิธีการดังกล่าว เป็นการเอาเปรียบคนอื่นที่ไม่สามารถมีคนรู้จักที่ฝากฝังได้ ในเรื่องนี้ผมมองว่า ในโลกปัจจุบันคนเราขาดซึ่งข้อมูลข่าวสาร นั้นคือ คนที่เลื่อกเราเข้าทำงาน ไม่สามารถที่จะรู้ว่าเรามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน การที่เรามีคนที่น่าไว้วางใจและฝากฝังเราเข้าทำงานทำให้ข้อมูลข่าวสารสมบูรณ์ขึ้น ผมมองต่างจากเพื่อนของผมเพราะ กติกาบนโลกใบนี้ไม่ได้เป็นกติกาที่ยุติธรรมตั้งแต่เริ่มต้น การที่เพื่อนผมกินอุดมการณ์ในเรื่องนี้ ทำให้เพื่อนผมนั้นเองที่กลับกลายเป็นผู้ถูกเอาเปรียบ


ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมมีเรื่องที่จะต้องเดินทาง แต่ผมกลับไม่มีตั๋วเลย เพราะตั๋วสำหรับพาหนะที่ใช้เดินทางเต็มหมด จนพ่อของผมเลือกที่จะใช้วิธี ติดต่อกับคนรู้จัก ในท้ายที่สุด ผมกลับได้ต๋วสำหรับการเดินทางในชั้นที่ดีที่สุด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ผมกำลังเล่นเกมส์ที่ไม่แฟร์สำรับคนอื่น แต่ในทางกลับกันผมก็ปฏิเสธวิธีการนี้ไม่ได้อีกเช่นกัน


อะไรละคือสิ่งที่เราควรทำเพื่อให้เกิดความายุติธรรมขึ้นในสังคม เพราะถ้าเรายังใช้วิธีการเช่นนี้ กลุ่มบุคคลที่ยากจนในสังคมและไม่เคยมีโอกาสอยู่แล้วกลับจะจนลง และไม่โอกาสเลยที่จะลืมตาอ้าปาก ผิดกับกลุ่มคนชั้นกลางที่พยายามที่จะใช้โอกาสอันนั้นดึงทรัพยากรที่อยู่อย่างจำกัด มาใช้ให้ตัวเองเกิดประโยชน์มากที่สุด ผมคงไม่มีปัญญาตอบคำถามนี้หรอก และไม่มีปัญญาและอำนาจที่จะจัดการให้โลกใบนี้เกิดความยุติธรรมมากขึ้น สิ่งที่ทำได้ คือ การแบ่งปันโอกาส ความรัก และถ้ามีอะไรที่พอจะช่วยกลุ่มคนกลุ่มนี้ได้ ผมจะช่วยเค้าอย่างเต็มที่ เพื่อนของผมละ จะมีคำตอบกับการที่ทำให้สังคมมีความยุติธรรมมากขึ้นได้อย่างไรฯ ถ้าเราทำได้สังคม และโลกใบนี้ของเราคงน่าอยู่ขึ้น

Friday, April 27, 2007

คำพ่อ คำแม่


ผมค่อนข้างอมยิ้มในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เพราะผมได้เลือกช่วงเวลานี้ ในการอยู่กับครอบครัว ได้ใช้เวลากับพ่อ คุยเรื่องการใช้ชีวิตกับแม่ แม้ว่าจริงๆแล้วช่วงเวลาตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังพักเพื่อเติมไฟ ในการต่อสู้อะไรๆที่กำลังจะเข้ามาในชีวิต แต่เมื่อเพื่อนได้เห็นชื่อเรื่องที่ผมได้เขียนใว้ คำพ่อ คำแม่ กลับไม่ใช่คำพ่อ คำแม่ของผมนะครับ แต่กลับเป็นชื่อหนังสือ ที่เขียนโดยพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต)


ผมค่อยๆอ่านแม้ว่าภาษาที่ใช้เขียนอาจจะไม่ได้สวยงานอ่านไพเราะ แต่ผมกลับมองเห็นถึงหลักปรัชญาที่เขียนในหนังสือเล่มนี้ เช่น

"คิดก่อนพูด

ลูกรัก...ปากคนนั้นนำสุขมาให้ก็ได้ นำทุกข์มาให้ก็ได้ มีคำเตือนมากมายเกี่ยวกับปาก เช่นว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” เมื่อลูกคบหากับใคร ทำงานที่ไหนก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังให้มากคือปาก ท่านกล่าวว่า “จงเก็บปากไว้ที่ใจ อย่าเก็บใจไว้ที่ปาก” คืออยากพูดอะไรก็เก็บไว้ในใจ อย่าพูดทุกอย่างตามที่ใจคิด พูดมากโอกาสพลาดก็มีมาก พูดน้อยก็พลาดน้อย เมื่อจำเป็นต้องพูดก็ควรพูดอย่างมีสติ พูดพอประมาณ พูดอย่างสร้างสรรค์ ถูกธรรม และประกอบด้วยประโยชน์ ท่านบอกไว้ว่า “คำพูดที่ดังเกินไป คำพูดที่แรงเกินไป คำพูดที่เกินความจริง ล้วนฆ่าคนพูดผู้โง่เขลาได้ทั้งสิ้น”


ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งในเรื่องนี้และยังมีอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมีระเบียบวินัย เรื่องการหนักเอาเบาสู้ การใช้เงิน และอีกหลายเรื่อง ฯลฯ ยิ่งผมอ่านผมยิ่งรู้ว่าการที่จะเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์ต้องฝึกฝน และใช้ความเพียรในการชนะใจตัวเอง ซึ่งทำได้ยากมากแต่ถ้าเราผ่านด่านที่ยากที่สุดนี้ได้ ผมมั่นใจว่าเราคงไม่ตอ้งกลัวอะไรอีกแล้ว ลองเอาคำพ่อ คำแม่ บวกกับความเพียรในการชนะใจตัวเอง ผมอยากรู้จังว่าความสวยงานของการชนะใจตัวเองตจะสวยงามเช่นไรเรามาข่งกันมะ มาแข่งกันชนะใจตัเองเพื่อปฏิบัติตามคำพ่อ และแม่นั้นเอง

Friday, April 06, 2007

ยอมรับกับทุกสิ่ง......


ในการบันทึกของผมในครั้งก่อนเพื่อนๆคงทราบถึงการเจอปัญหา ผมได้แก้ไขปัญหาตรงนั้นไปอย่างเรียบร้อย และตั้งสติที่จะยอมรับกับทุกบทเรียนที่จะเกิดขึ้นกับผม ผมรีบสะสางปัญหา และจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วดังที่ใจตัวเองคิด ส่วนตัวของผม ผมไม่เคยกลัวปัญหาที่ตนเองสามารถแก้ไขและจัดการได้ เพราะผมคิดว่าไม่มีอะไรที่คนเราทำไม่ได้ ถ้ามุ่งมั่นและตั้งใจ เราก้อสามารถผ่านพ้นทุกสิ่งทุกปัญหาไปได้ แต่ผมลืมคิดไปว่า สำหรับบางเรื่องของชีวิต คนอื่นก้อเป็นคนตัดสินว่า เราจะเดินไปยังไงต่อ ปัญหาใหม่ของผมเกิดจากปัญหาที่ต้องรอการตัดสินใจของคนอื่นนั้นเอง


ผมเอางานที่ผมได้รับการแก้ไข ปิดรอยรั่ว และแก้ไขอย่างดีที่สุด ในมุมของผม ผมได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว ทั้งความตั้งใจ ความขยัน และความซื่อสัตย์ในการทำงานชิ้นนี้ ผมยังหวังเล็กๆว่าผลงานชิ้นนี้จะต้องสมบูรย์และเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ แต่แล้วความฝันของผมก้อพังทลายลง พังลงเพราะการตัดสินใจของคนอื่น ด้วยเหตุผลสั้นๆว่าไม่มีเวลา และต้องเดินทางท่องเที่ยว น่าผิดหวังจัง! ผิดหวังว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่และมีบทบาทในแต่ละบทบาท แต่เมื่อเราละเลย และคิดว่า ความสุขของตัวเองสำคัญที่สุด โดยคิดว่าการเร่งอะไรบางอย่างจะทำให้ตัวเองลำบาก แย่จัง แต่ผมก็เผื่อใจไว้แล้ว ว่าเหตุการแบบนี้ ไม่ได้เหนือความคาดหมายที่จะเกิดขึ้น เพียงแค่ผิดหวังกับคนเท่านั้น


ผมเริ่มคิดใหม่ คิดใหม่ให้ตัวเองมีความสุขขึ้น โดยการยอมรับและเปลี่ยนจุดประสงค์ไหม่ โดยในตอนแรกผมวางแผนว่าตลอดสงกรานต์ผมคงต้องหัวฟูกับการปั่นงาน แต่เมื่อ ผลออกมาเช่นนี้ ผมเลยเปลี่ยนแผนใหม่โดยใช้เวลาที่รอนี้ อยู่กับครอบครัว ท่องเที่ยวกับพ่อแม่ และสงกรานนี้เป็นช่วงเวลาที่ผม กับพ่อ แม่ พี่เอก และน้องนุช ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน รวมถึงบรรดาญาติที่เรามีนัดกันในช่วงเวลานี้ ก้อทำให้สงกรานต์นี้เป็นช่วงเวลาที่ดีของผมแทนที่จะหัวฟูกับงาน และที่สำคัญวิทต้องรีบให้อภัย กับคนที่เราไม่ได้ดังใจนะวิท ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเสมอ แค่เปิดใจยอมรับนะวิท และจงรู้ใว้ว่า โดยสถานภาพและหน้าที่ของตัวเองตัวเองต้องยอมรับในผลของผู้ที่ตัดสินเราจะตัดสิน จงก้มหน้า และพยายามต่อไปทำให้เต็มที่ที่สุด ยอมรับและจงก้าวเดินต่อไป....