Saturday, February 24, 2007

เรามักจะละเลยอยู่เสมอ........


วันนี้ผมมีทั้งเรื่องที่มีทั้งความสุขและความรู้สึกเสียใจเกิดขึ้นพร้อมๆกัน โดยที่เรื่องทั้งสองนี้ทำให้ผมนั่งขบคิดและพิจารณาความรู้สึกทั้งสองที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน เพื่อนๆอยากฟังเรื่องอะไรก่อนดี แต่ผมอยากเล่าความสุขก่อนเพื่อเตรียมใจที่รับกับความทุกข์ที่ผมจะเล่าต่อไป


ความสุขของผมคงเกิดจากการที่ผมได้มีโอกาสได้ไปงานเลี้ยงวันเกิดของคุณอาผมเอง ม่ายใช่ว่าผมเห็นแก่กินนะครับ(อาจจะมีเหตุผลนิดนึ่งในข้อนี้) แต่ประเด็นหลักคือ ชีวิตในเมืองหลวงแม้ว่าเราอาจจะเป็นญาติที่สนิทสนมและห่วงใยกันอยู่เสมอแต่เราก้อละเลยที่จะใส่ใจต่อกัน เมื่อมีอะไรพิเศษเช่นในวันนี้ ผมก้อมีความสุขที่ได้รับประทานอาหารพร้อมเหล่าญาติๆของผมเอง ผมชอบรรยากาศของการมีครอบครัวใหญ่ การถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกัน จริงๆแล้วเราห่วงใยกันอยู่เสมอเพียงแต่เราละเลยการแสดงออกเท่านั้น การเริ่มต้นของชีวิตคุณอาผมเมื่อห้สิบกว่าปีก่อนได้สอนผมให้เห็นถึงความรักระหว่างพี่กับน้อง คือ ผมได้เห็นถึงความรัก การเป็นห่วงเป็นใยกันระหว่างคุณอาและคุณพ่อของผม การเรียนรู้จากพ่อแม่ทำให้ผมรู้ว่า การมีครอบครัวของพ่อแม่นั้น การที่ลูกอยู่ในกรอบที่ดีงามเป็นคนเอาถ่านแล้ว ความสมัครสมานกันระหว่างพี่น้องก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ผมไม่รู้หรอกว่าความรักระหว่างพี่น้อง เป็นอย่างไร แต่ผมรู้ว่าผมมักจะเป็นห่วงเจ้อยู่เสมอในเรื่องการทำงานหนัก และภูมิใจในตัวน้องนุช อาจารย์ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาของนักศึกษา แต่ผมก้อยังไม่รู้อยู่ดีว่าสิ่งนี้เรียกว่าความรักหรือเปล่า เมื่อรู้แล้วว่าความสุขของผมเกิดขึ้นแล้ว ความทุกข์ของผมก้อเริ่มตามมา


เพราะระหว่างที่ผมกำลังเรียนภาษาจีนผมก้อได้รับข่าวร้าย ว่าคุณแม่ของเพื่อนเสียชีวิต ผมอึ้งและตั้งสติ ที่ผมเสียใจเพราะ ผมทราบข่าวว่าคุณแม่ของเพื่อนเข้าโรงพยาบาล แต่ตลอด2เดือนที่ผ่านมาผมยุ่งกับการแก้ปัญหาทีสีสอย่างขมักเขม่น จนผลัดอยู่ตลอดว่า เดียวจะไปเยี่ยม เดียวจะไปเยี่ยม ในท้ายที่สุดผมก้อไม่ได้รับโอกาสอันนั้น ผมเสียใจบางเรื่องเป็นเรื่องที่เรารอไม่ได้ แต่เราก้อละเลย ละเลยที่จะผลัดวันอยู่เสมอ จนไม่มีวันนั้นให้ผลัดอีกแล้ว


วันนี้จึงเป็นวันที่ขัดแย้งกันมาก งานนึ่งก้อเป็นงานที่เมื่อ 50 กว่าปีก่อนคนๆนึ่งได้เริ่มต้น แต่อีกข่าวนึ่งก้อเป็นจุดจบของอีกนึ่งคน ชีวิตในท้ายที่สุดก้อคือ การไม่เที่ยงแบบนี้นี่เอง ผมคงต้องใส่ใจในเรื่องเล็กๆให้มากขึ้นแล้วละ เริ่มจากการคุยกับพ่อ แม่ให้มากขึ้น ให้กำลังใจ เจ้ และไซโคให้เจ้ดูแลสุขภาพ คุยกับน้องนุชให้มากขึ้น โทรหาญาติๆให้มากขึ้น เอาใจใส่เพื่อนสนิทๆ แต่สิ่งที่ยังทำไม่ได้ คือ การบอกรักผู้หญิงคนนึ่ง(เฮ้อ!กับอีแค่คำสั้นๆแต่วิทก้อไม่กล้าซักที่ เพียงแต่การแสดงออกด้วยความใส่ใจและแคร์)


เพื่อนละเคยมีความรู้สึกแบบผมหรือเปล่า หรือมีวิธีดูแลพ่อแม่อย่างไรลองเล่าให้ผมฟังบ้างนะ ผมอยากรู้จริงๆว่าทุกคนมีการแก้ปัญหาการละเลยนี้ได้อย่างไร?

Saturday, February 17, 2007

วันสบายๆ


ปกติทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ตอนเช้า ผมต้องไปเรียนภาษาจีนแทบทุกอาทิตย์ แม้จะเรียนภาษานี้มานานมาก แต่ยิ่งเรียนยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่าตัวเองโง่ลงๆ ยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่าเราไม่รู้อะไรเลย มาเข้าเรื่องเลยดีกว่าเพราะตรุษจีน ผมเลยได้หยุดไม่ต้องไปเรียนภาษาจีนในอาทิตย์นี้ ผมเลยรู้สึกว่าอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่พิเศษเสียจริงๆเพราะได้อยู่บ้าน เย้! ดีใจจัง ผมเลยได้ใช้ชีวิตในอาทิตย์นี้แบบค่อยละเมียดละไมกับสิ่งรอบตัวในตอนเช้า ค่อยๆกวาดลานบ้าน รดน้ำต้นไม้ นอนเอกเขนกดูทีวี ค่อยๆกวาดบ้านถูบ้าน ล้างห้องน้ำ รู้สึกดีจังที่ได้ทำให้บ้านสะอาดแบบค่อยๆทำและคิดอะไรไปเรื่อยๆ


อยู่ๆผมก้อได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทคนนึ่ง เสียงของเพื่อนบอกให้รู้ว่ากำลังมีความทุกข์นะครับ คุยไปคุยมาเลยรู้ว่าความทุกข์ของเพื่อนผมคือธุรกิจที่กำลังทำอยู่ยอดขายอาจจะไม่ดีเหมือนในอดีต สำหรับผม คงแค่รับฟังเท่านั้น ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด และผมไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจเลยผมก้อเลยแค่ฟังและคิดต่อยอดเท่านั้น


ผมนึกถึงข้อเขียนของท่านอาจารย์นิพนธ์ กรรมการวิทยานิพนธ์ของผม ที่เขียนไว้ในหนังสือรับปริญญาปีที่แล้ว ผมชอบข้อเขียนอันนี้มาก ที่บอกว่าเมื่อเราจบการศึกษาชีวิตเราจะต้องเลือก 2 อย่าง นั้นคือ ต้องเลือกทำงานว่าจะทำงานด้านไหน และต้องเลือกคู่ชีวิต

การทำงานก้อต้องเลือกว่าจะเลือกงานที่เสี่ยงน้อยแต่มีความมั่นคงผลตอบแทนต่ำ มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัว หรือเลือกงานที่เสี่ยงมาก ผลตอบแทนสูงทำงานหนัก ส่วนการเลือกคู่ จะเลือกคนสวย หรือคนมีเสน่ห์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้เลือกเพราะรักไม่ใช่เลือกด้วยความไคร่ผมชอบประโยคนี้ของอาจารย์ซะจริง


มาคุยกันต่อการคุยกับเพื่อนทำให้ผมนึกถึงแม่ แม่มักจะพูดเสมอว่าอย่าทำอะไรเกินตัว และสอนให้คิดหน้าคิดหลังให้ดีที่สุดเมื่อจะทำอะไรโดยเฉพาะในเรื่องการลงทุน พอมองเห็นแล้วใช้ไหมครับแม่ผมไม่ชอบความเสี่ยง แม้ว่าผลตอบแทนต่ำแต่แน่นอน ผมเห็นด้วยกับแม่นะครับ เมื่อจะทำอะไรเราต้องคิดว่าถ้าเกิดการพริกผัน เราจะควบคุมสิ่งนี้ได้หรือเปล่า ผมคิดในมุมของคนที่คิดที่จะไม่พึ่งคนอื่นนะครับ เมื่อคิดรอบคอบทั้งทางบวกและลบ และวางแผนที่จะจัดการกับผลลัพท์ที่จะออกมาผมเชื่อว่าว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้


แต่ความทุกข์ของคนเรามักเกิดจากการสร้างเงื่อนไข คือยังไม่มีความพร้อมก้อคิดจะทำโน่นทำนี่ เช่นรายได้ยังน้อยอยู่แต่ก้อยังดันทุรังที่จะซื้อบ้านและรถ เมื่อมีเงื่อนไขเป็นตัวตั้ง ทำให้ต้องหาเงินไห้ได้ตามเงื่อนไข แทนที่จะคิดว่ารายได้เท่านี้จะใช้จ่ายอะไร ทำให้เราก้อยังเจอกับความาทุกข์อยู่เสมอเมื่อเกมส์ทางการเงินกำลังเล่นงานเราอยู่


การที่ผมพูดมายืดยาวขนาดนี้ก้อเพื่อบอกว่าการมีรายได้ที่สูงก้อใช่ว่าชีวิตของคุณจะไม่มีอุปสรรคทางการเงิน ขึ้นอยู่กับว่าคุณสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองมากน้อยแค่ใหนนั้นเอง


ผมปลอบเพื่นว่าเรายังอายุยังน้อยอยู่การผิดพลาดและหกล้มจะทำให้เราเข้มแข็งและละเอียดรอบคอบมากขึ้น แต่ผมคงไม่มีหน้าไปพูดถึงในเรื่องเงื่อนไขของชีวิตหรอกเพราะทุกคนต่างมีรสนิยมที่ต่างกันและผมเคารพในการเลือกใช้ชีวิตของเพื่อนผมเสมอ สู้ต่อไปนะเพื่อน


วันสบายๆของผมแม้ว่าจะมีงานบ้านเยอะเลยแต่ผมก้อคิดถึงการดำเนินชีวิตได้อีกเช่นกัน

Wednesday, February 07, 2007

สองข้างทางแห่งความสุข


การเดินทางในชีวิตประจำวันของผมคงเกิดขึ้นตั้งแต่เช้า ผมว่ามนุษย์โดยธรรมชาติต้องตื่นแต่เช้าและนอนแต่หัวค่ำ ทำงานเยอะๆตั้งแต่เช้าและพักผ่อนออกกำลังกายในตอนเย็น ทานอาหารที่มีประโยชน์ ได้หัวเราะและยิ้มให้กับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต แม้ว่าสิ่งนั้นอาจทำให้ผมเหนื่อยแต่ผมไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว ก้อแค่เซ็งๆ แล้วก้มหน้าก้มตาสู้ต่อไป โดยภารกิจที่ทำให้หัวฟูอยู่เสมอในช่วงนี้เลยทำให้การกลับบ้านค่อนข้างกลับบ้านเย็นพอสมควร

แต่สิ่งนี้ก้อไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกลำบากใจ ผมดีไซน์ชีวิตช่วงกลับบ้านเพื่อให้ตนเองได้พักผ่อนและผ่อนคลายกับภาพชีวิตที่ผมได้ผ่านพบ ผมเลือกที่จะเดินเท้าจากธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า สูดอากาศยามเย็นให้เต็มปอด การเดินต้องดูทิศทางลมนะครับ เพื่อว่าเราจะไม่ต้องสูดควันพิษ ผมได้ไอเดียร์อย่างนึ่งนะครับ เมื่อเห็นพระอาทิตย์ตกดิน ชีวิต คือการทำหน้าที่ เพราะตอนเช้าพระอาทิตย์ดวงเดิมนี้ก้อจะขึ้นมาให้แสงสว่างอีกครั้ง พอหมดแรงในตอนเย็นก้อกลับไปพักผ่อนแต่ไม่เคยเลยที่จะหยุดทำหน้าที่

สองข้างทาง ผมยังเหลือบไปเหลือบเห็นเด็กตัวเล็กๆช่วยแม่ขายของบ้าง ช่วยแม่ล้างแก้วล้างจานบ้าง ผมคิดนะครับว่า ถ้าผมเป็นพวกเค้าผมคงภูมิใจที่ได้แบ่งเบาภาระพ่อแม่ และรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร และได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ความสุขของมนุษย์ คือ อะไรกัน บ้างก้อบอกว่าฉันจะต้องเป็นคนที่รวยที่สุด เป็นคนที่เก่งที่สุด อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด ถ้าถามผมผมคงบอกว่า ความสุข คือการได้สังเกตุชีวิต ได้ทำหน้าที่ในทุกหน้าที่ให้ดีที่สุด ได้ยิ้มและมองโลกแห่งความเป็นจริง ได้อยู่กับคนที่เรารัก และอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น แค่นี้ก้อคงพอแล้ว.........สองข้างทางกลับบ้านของผมก้อเป็นความสุขเหมือนเช่นทุกๆวันอย่างนี้นี่เอง