Sunday, November 25, 2007
Remembrance of things lost
Tuesday, November 20, 2007
สวยงามที่น้ำใจ
Saturday, November 03, 2007
รักตัวเอง
Thursday, October 25, 2007
ลมหนาว
Wednesday, October 17, 2007
โลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ
Saturday, September 29, 2007
กอดสุดท้าย
Tuesday, September 11, 2007
ผมรักการอยู่บ้าน
Monday, August 27, 2007
เพื่อนในกลุ่ม
Wednesday, August 08, 2007
วันของแม่
Sunday, July 22, 2007
วันอาทิตย์
Wednesday, July 04, 2007
Don't find love, let love find you
Tuesday, June 26, 2007
คิดแบบเด็กๆ
Monday, June 04, 2007
คิดถึงแม่
Friday, May 18, 2007
รถไฟ
Saturday, May 12, 2007
ความรักที่ต้องเลือก
ในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาผมค่อนข้าง เขียนแต่เรื่องหนักๆ มาฟังเรื่องสบายๆ กันดีกว่า แต่ผมก้อยังไม่แน่ใจนะว่า จะเป็นเรื่องเบาๆ หรือยิ่งหนักกว่าก้อไม่รู้ แต่สำหรับผม ผมได้คำตอบนี้แล้ว คือ คำถามที่ว่า ความรักต้องเลือก คือเลือกที่จะสานต่อความสัมพันธ์ของเราให้ก้าวหน้ามากขึ้น ให้ทุกอย่างชัดเจน หรือเลือกที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ในช่วงก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างอึดอัดใจกับเรื่องนี้มาก เพราะเมื่อความรักเริ่มเกิดกับเรา มันตามมาด้วยการ เป็นห่วงเค้า อยากไกล้ชิด และที่สำคัญคือ แอบหึงหวง นี้หละผมเริ่มเกิดความทุกข์ขึ้นมาแล้วละ ห่วงว่าจะมีชายหนุ่มคนอื่นเข้ามาแทนที่เราบ้างละ ความรักของผมตอนนี้ช่างเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวซะเหลือเกิน คือ เห็นแต่ตัวเองเป็นความรักที่มีแต่การผูกมัดโดยลืมคิดไปว่า นะวันนี้ผมม่ายมีปัญญาที่จะเลี้ยงดูเค้าได้เลย แค่ปัญญาเอาตัวเองให้รอด ผมยังเอาตัวไม่รอดเลยนะ
ผมเริ่มคิดอย่างรอบคอบ คิดไกลถึงอนาคต การบรรจบของเส้นทางของเราทั้งสอง ผมเริ่มยิ้มออก ผมรู้แล้วละ ว่าผมจะทามเช่นไร ผมเลือกความสัมพันธ์ในรูปแบบของการเป็นเพื่อนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมถอยมานึ่งก้าว เลิกที่จะวุ่นวายและใส่ใจเกินกว่าเพื่อนคนนึ่งจะทำ เลิกที่จะคอยห่วงว่าจะมีชายหนุ่มคนไหนเข้ามาในชีวิตเค้าหรือไม่
เมื่อเลิกที่จะยึดติดกับรูปแบบของความสัมพันธ์ คอยเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ และไม่คาดหวังว่า ในท้ายที่สุดผู้ชายคนนั้นจะใช่เราหรือเปล่า ผมเริ่มมีความสุขขึ้น ชีวิตผมเป็นอิสระมากขึ้น ในเมื่อผมยังมีความเป็นส่วนตัวสูงขนาดนี้ ยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใครได้ ตอนนี้คงแค่ฝึกที่จะดูแลพ่อแม่ เจ้ และน้องให้ดีก่อน นะวิท และเมื่อวันเวลาของอนาคตมาถึง วิทนั้นแหละจะเป็นคนรู้คำตอบนั้นนั่นเอง ว่าผู้หญิง คนนี้ คือ คนที่อยู่ในอนาคตของวิทหรือไม่ จงทำสิ่งที่ควรทำนะวิท และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
Monday, April 30, 2007
Fair or Unfair
Friday, April 27, 2007
คำพ่อ คำแม่
Friday, April 06, 2007
ยอมรับกับทุกสิ่ง......
Monday, March 26, 2007
หัดเดินใหม่
ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมอยู่ในภาวะที่หดหู่ หมดหวังและสิ้นหวัง ผมลืมทุกอย่างลืมการฝึกตัวเองที่ตนเองพยายามที่จะฝึกมาตลอดชีวิต สาเหตุของความทุกข์ผมคืออะไรหรือ คงเกิดจากสิ่งที่ผมคาดหวัง ส่วนตัวผม ผมเป็นคนปรานีปรานอมกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต แต่ในเรื่องของตนเองผมมักจะเข้มงวดและขัดใจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้ตัวเองได้ทำตามครรลองที่ได้วางไว้ น่าเสียใจแค่มรสุมลูกเล็กๆก้อทำให้ผมเสียสูญการทรงตัวได้เพียงนี้ ช่วงแรกของความทุกข์ผมเลือกที่จะคุยกับแม่ขอความรักและพลังใจ คุยกับพ่อเพื่อขอความเข้มแข็ง นอนแต่หัวค่ำ เพราะหมดแรงที่จะต่อสู้แ ต่ไม่ลืมที่จะสวดมนต์ก่อนนอน ผมนอนหลับด้วยความรู้สึกหมดแรง ตื่นมาอีกครั้งตอนตี 3 ขึ้นมาสวดมนต์อีกครั้ง
ความทุกข์เกิดจากอะไร เกิดจากเราคาดหวัง อยากให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างใจเราต้องการ แต่ในความเป็นจริงของโลกใบนี้ไม่มีอะไรหรอกที่ได้ดังใจเรา แต่ผมก้อยังโง่เขลา และจมอยู่ในความทุกข์แม้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นเช่นนั้นเอง ผมเริ่มรวบรวมกำลังใจ ทบทวนถึงปัญหาว่าคืออะไร แล้วเราจะทำอะไรต่อ ความทุกข์จะไม่ได้รับการแก้ไขถ้าเรามัวแต่ร้องให้และไม่ยอมที่จะลุกเพื่อก้าวเดินต่อไป ช่วงแรกผมรอแต่จะให้มือของคนอื่นมาพยุงผม ผมคิดถึงพ่อแม่ คิดถึงพี่และน้อง และคิดถึงผู้หญิงที่ผมหลงรัก แต่ม่ายเลย ทางออกคือผมต้องเดินเอง
ผมพลาดอีกอย่างนึ่งคือ ผมฟูมฟายมากไป ยิ่งเราพูดถึงปัญหามากเพียงไร ปัญหานั้นก้อจะทิ่มแทงใจเรามากขึ้นและไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ผมเริ่มยิ้มกับปัญหา และเปิดใจให้กว้างยอมรับกับผลลัพธ์ที่จะออกมา ผมเริ่มที่จะหัดเดินใหม่อีกแล้วนะครับ หลังจากหกล้มไม่เป็นท่าในครั้งนี้ ผมเริ่มมองรอบข้างมากขึ้น ผมมีความสุขสำหรับกำลังใจจากเพื่อนรักหลายคน ก้าวเดินก้าวใหม่ของผมคงมีความหมายและสวยงามมากขึ้น ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้น ที่ทำให้ผมได้หัดเดินเหมือนเด็กที่พึ่งหัดเดินอีกครั้ง
Saturday, March 10, 2007
To have or to be ?
Saturday, February 24, 2007
เรามักจะละเลยอยู่เสมอ........
Saturday, February 17, 2007
วันสบายๆ
Wednesday, February 07, 2007
สองข้างทางแห่งความสุข
แต่สิ่งนี้ก้อไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกลำบากใจ ผมดีไซน์ชีวิตช่วงกลับบ้านเพื่อให้ตนเองได้พักผ่อนและผ่อนคลายกับภาพชีวิตที่ผมได้ผ่านพบ ผมเลือกที่จะเดินเท้าจากธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า สูดอากาศยามเย็นให้เต็มปอด การเดินต้องดูทิศทางลมนะครับ เพื่อว่าเราจะไม่ต้องสูดควันพิษ ผมได้ไอเดียร์อย่างนึ่งนะครับ เมื่อเห็นพระอาทิตย์ตกดิน ชีวิต คือการทำหน้าที่ เพราะตอนเช้าพระอาทิตย์ดวงเดิมนี้ก้อจะขึ้นมาให้แสงสว่างอีกครั้ง พอหมดแรงในตอนเย็นก้อกลับไปพักผ่อนแต่ไม่เคยเลยที่จะหยุดทำหน้าที่
สองข้างทาง ผมยังเหลือบไปเหลือบเห็นเด็กตัวเล็กๆช่วยแม่ขายของบ้าง ช่วยแม่ล้างแก้วล้างจานบ้าง ผมคิดนะครับว่า ถ้าผมเป็นพวกเค้าผมคงภูมิใจที่ได้แบ่งเบาภาระพ่อแม่ และรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร และได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ความสุขของมนุษย์ คือ อะไรกัน บ้างก้อบอกว่าฉันจะต้องเป็นคนที่รวยที่สุด เป็นคนที่เก่งที่สุด อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด ถ้าถามผมผมคงบอกว่า ความสุข คือการได้สังเกตุชีวิต ได้ทำหน้าที่ในทุกหน้าที่ให้ดีที่สุด ได้ยิ้มและมองโลกแห่งความเป็นจริง ได้อยู่กับคนที่เรารัก และอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น แค่นี้ก้อคงพอแล้ว.........สองข้างทางกลับบ้านของผมก้อเป็นความสุขเหมือนเช่นทุกๆวันอย่างนี้นี่เอง
Wednesday, January 24, 2007
น้อยใจ.........
น้อยใจอาจจะคำที่แสดงความรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้รับความพอใจบางอย่าง โดยส่วนตัวของผมแล้วผมมักไม่ค่อยน้อยใจใคร ยกเว้นคนในครอบครัว หรือเพื่อนที่สนิท ถ้าคนๆนั้นได้รับการแสดงความน้อยใจจากผม นั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าผมเริ่มให้ความสำคัญกับคนๆนั้น
การน้อยใจเกิดจากการทำวิทยานิพนธ์ของผมนั้นเอง การเดินทางของวิทยานิพนธ์ของผมได้เดินทางผ่านการเก็บข้อมูลอย่างเหนือยแต่แฝงไว้ด้วยความสนุก เหตุของการน้อยใจของผมเริ่มจากตรงนี้เอง ด้วยนิสัยการเป็นคนไม่ง้อใคร เพราะผมคิดว่าทุกอย่างในชีวิตของเรานั้น เราสามารถจัดการได้ เพียงแต่ว่าถ้ามีคนมาช่วย ก้อทำให้เราเบาแรงลง ผมจึงแค่ชวนผองเพื่อนและน้องๆมาเก็บข้อมูลกับผม แต่ก้อไม่ได้จำจี้จำไชนะครับ เพราะผมรู้ว่าทุกคนต่างมีภาระและมีสิ่งที่ต้องทำกันทุกคน
แต่สวรรค์ก้อคงไม่กลั่นแกล้งผมซะทีเดียวอยู่ๆก้อมีเพื่อนหน้ามล ก้าวเข้ามาบอกว่าเราจะช่วยแกเอง เพื่อนคนนั้น คือนายโอมนั้นเอง ผมซาบซึ้ง และขอบคุณ ผมรู้ว่าเพื่อนคนนี้ต้องลำบากตื่นแต่เช้า และออกจากบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อให้มาตามนัดตรงเวลา และยอมเสียโอกาสการบริหารงานโรงแรมย่านปทุมธานี ซึ่งโอมก้อเป็นหัวแรงใหญ่ในการช่วยธุรกิจที่บ้าน แต่เพื่อนรักของผมคนนี้ก้อบอกเสมอว่าเราจะช่วยแก
น้องหลีดเป็นน้องที่ผมต้องขอบคุณมากๆที่อุตสาห์มาช่วย ทั้งยังต้องอดทนในความไม่ได้ดังใจของแม่ค้าบางคน รวมถึงน้องลพ ที่ผมซาบซึ่ง เพราะในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเก็บข้อมูลที่วงเวียนใหญ่ ก้อได้รับสายจากลพบอกว่าพี่อยู่ใหนเดียวผมไปช่วยเก็บนะ แค่นี้น้องคนนี้ก้อได้ใจผมไปแล้ว อีกคน คือ ม๊าย น้องที่นิสัยดีที่มาช่วยผมเสมอทำให้งานเสร็จอย่างรวดเร็วขึ้น ด้วยคำพูดที่ว่าสงสารพี่วิทเลยมาช่วย แค่นี้ผมก้อโอเลยนะม๊าย
การเก็บข้อมูลของผมเสร็จแล้ว ผมเลยมีไอเดียร์ ที่จะจัดปาร์ตี้เล็กๆสำหรับพวกเรา ในเมื่อตอนที่ทุกข์ ทุกคนก้อมาร่วมแรงร่วมใจมาช่วยเหลือกัน เมื่อมีความสุข เราก้อน่าจะเสพย์ความสุขร่วมกัน ผมนัดหมายทุกคนกันที่ฟอร์จูน เพื่อไปทานอาหารญี่ปุ่นที่ร้าน คุโรดะ ย่าน อาร์ซีเอ ที่ผมเลือกร้านนี้เพราะเป็นร้านอาหารที่อร่อยและที่สำคัญเป็นบุฟเฟ่ ไม่ต้องมานั่งเกรงใจกัน ว่าอยากกินอะไรก้อสั่งกันไป อาหารก้อถือว่าอร่อยทีเดียว ผมน้อยใจว่าน้องลพ และน้องม๊ายไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้ เหตุผลของน้องลพฟังขึ้นเพราะมีเรียนกะทันหันแต่ผมก้อเข้าใจลพว่าเกรงใจผม ส่วนม๊ายกลับไม่รับสายผม ในวันนัดในวันนี้ ผมรู้ว่าน้องทุกคนนิสัยดี และเกรงใจว่าผมอาจจะต้องจ่ายแพง แต่ในมุมของผม เมื่อผมบอกกับใครว่าไปกินข้าวกันผมเลี้ยงเอง ความรู้สึกของผมคืออยากเลี้ยงคนๆนั้นจริงๆ อยากขอบคุณ และโดยส่วนตัว ผมประเมินตัวเองอยู่แล้ว ว่าผมจะเลี้ยงเพื่อนๆในระดับใหนที่ผมคิดว่าผมไม่ลำบากและเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะมอบให้ วันนี้ผมยังแจกสินนำใจเล็กๆน้อย ที่ทุกคนอุตสาห์มาช่วยผม ทุกอย่างมีต้นทุนเสมอ การที่เพื่อนมาช่วยผม เพื่อนย่อมเสียโอกาสในการทำงานอย่างอื่น เหตุน้อยใจเกิดขึ้นตรงนี้เอง แอบงอนเล็กๆ ที่น้องม๊ายเบี้ยวผมนั้นเอง
แต่หลังจากกลับมาถึงมหาลัยก้อเจอน้องลพ ผมบอกลพว่าจงรับ อะไรเล็กน้อยจากผมนะ กว่าจะกล่อมให้ลพรับได้ก้อเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะ แต่ผมมีความสุข ที่เป็นผู้ได้มอบสิ่งที่คนๆนั้นควรได้รับ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆก้อตาม แต่ก้อเป็นน้ำใจจากผมนะน้องลพ
ส่วนม๊ายยังไม่เจอแต่คิดว่า เมื่อเจอกันจะต้องบ่นน้องคนนี้ซักหน่อย ว่าสัญญากับเราไว้แล้วว่าจะไปปาร์ต้ด้วยกันในวันนี้แต่มาเบี้ยวกันได้ แล้วววววไว้เจอกันน้องม๊าย
Tuesday, January 16, 2007
Crying out Love, in the Centre of the World :พร่ำหัวใจเพรียกหารักที่กลางโลก
ความรักจะอยู่กับเรานานแค่ใหนกันนะ เป็นวลีที่ผมตั้งคำถามจากการได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนครับ ดูแบบไม่ค่อยทราบซึ้งในความสวยงาม ในโครงเรื่องอาจจะเป็นเพราะวันนั้นเป็นวันที่ดูค่อนข้างฉุกละหุกในหลายๆเรื่อง จนเมื่อผมได้ไปเดินครองถม และลองซื้อหนังเรื่องนี้มาดูอีกครั้งหนึ่งไม่ต้องแปลกใจเลยว่าการดูครั้งที่สองของผมกลับทำให้ผม ประทับใจ เจ็บปวด และลุ้นว่าในท้ายที่สุดบทสรุปของเรื่องนี้จะจบลงเช่นไร
เรื่องดำเนินไปในตอนแรก โดยมีพายุใต้ฝุ่นหมายเลข 29 ได้พัดเข้าสู่เกาะคิวชู ซึ่งใต้ฝุ่นลูกนี้เป็นปมของเรื่องได้เป็นอย่างดีเพราะเมื่อ 17 ปีก่อนพระเอกของเรื่องได้เกิดความรักขึ้น และความรักไม่สมหวัง การพัดมาของใต้ฝุ่นก้อทำให้ริทซึโกะ ต้องทำภารกิจสุดท้ายคือการนำเทปคาสเส็ตกลับไปให้เจ้าของโดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มที่เค้าตามหาก้อคือ คู่หมั้นของเค้านั้นเอง
การดำเนินเรื่องราว ใช้การบันทึกเสียงในเทปคาสเส็ตส่งหากัน ระหว่าง อากิ และ ซากุ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สวยงามมาก ผมเคยคิดกับตัวเองว่าเมื่อผมได้เจอผู้หญิงที่ผมมั่นใจว่าจะแต่งงานด้วย ผมจะเขียน ไดอารี่หาเค้าทุกวันนะ ซึ่งเมื่อมาดูเรื่องนี้ทำให้เติมเต็มความคิดของผมในเรื่องการเขียนไดอารี่ยิ่งจขึ้นนะครับ การเล่าเรื่องทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ ความรักของทั้งสองในช่วงเวลานั้น ทำไมความรักช่างดูสวยงานและยิ่งใหญ่เหลือเกินนะ ชักอยากจะลองมีความรักบ้างจัง
ความสวยงามของความทรงจำ การผูกเรื่องได้อย่างงดงาม การใช้สัญลักษณ์ ความรักที่ยืนยงและความทรงจำเก่าๆ โดยชายเจ้าของร้านถ่ายรูป สัญลักษณ์ของของอากิสาวคนรักเก่า กับซากุที่เคยไปพักยังบ้านร้างบนเกาะแห่งหนึ่งทำให้ผมพอทราบว่าความรักของทั้งสองจะไม่สมหวัง
ผมทราบซึ้ง และคิดถึงตัวเองว่า ความรักของตัวเองไม่เคยหายไปไหน ยังอยู่ในใจของผมแต่สิ่งเหล่านี้ คือ บทเรียนให้ผมได้ก้าวเดินต่อไป เพื่อนๆละดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ผมรับประกันได้ว่าทุกคนจะมีความสุขเมื่อได้เสพย์หนังเรื่องนี้ ขอให้มีความสุขกับการได้ดูหนังเรื่องนี้นะครับ