Saturday, December 23, 2006

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (1)


Day 5 The first step in Kyoto (Nov. 23)
เนื่องจากความเหนื่อยล้า การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ทำให้วันนี้ตกลงจะไปเกียวโตด้วยชินคันเซน ฮิคาริ 401 (ชินคันเซนสายโทไคโด สุดทางที่ชินโอซาก้า กับสายซันโย สุดทางที่ฟุกุโอกะ มีชินคันเซนสามประเภท คือ โนโซมิเร็วสุด จอดแต่ป้ายใหญ่ๆ เช่น นาโกย่า เกียวโต ชินโอซาก้า แต่เจอาร์เรลพาสใช้ไม่ได้ รองลงมาเป็นฮิคาริ หรือแปลเป็นไทยคือแสงสว่าง จอดเพิ่มมาอีกไม่กี่ป้าย ซึ่งเจอาร์เรลพาสครอบคลุมคลาสนี้ และสุดท้ายโคไดมะจอดทุกป้าย) ซึ่งไม่ใช่รอบแรก แต่ก็เป็นขบวนเช้าเหมือนกันและด้วยความกังวลว่าจะไม่ได้ที่นั่งเนื่องจากไม่สามารถจองที่นั่งได้ จึงทำให้ออกเช้ามากเช่นเดิม พวกเรามาถึงสถานีโตเกียวก่อนเวลาที่ฮิคาริจะเปิดประตูขบวนรถให้เข้าเสียอีก นุ้ยเลยมีเวลาถ่ายรูปกับโนโซมิที่จอดอยู่ข้างๆ ไม่ได้ขึ้น แค่ถ่ายรูปก็ยังดี พวกเรารอจนคนขับมาเปิดประตูให้ แล้วเข้าไปในตู้เป็นกลุ่มแรก ดังนั้นได้นั่งสบายตลอดสองชั่วโมง สามสิบเจ็ดนาที ช้ากว่าโนโซมิที่นุ้ยถ่ายรูปแค่เจ็ดนาที
ระหว่างทางก็เริ่มกินข้าวเช้าเป็นขนมปังอีกแล้วครับท่าน (ตลอดทริปคาดได้เลยว่าข้าวเช้าจะเป็นขนมปัง เพราะไม่ค่อยมีเวลา) และเป็นไปตามคาด ผู้คนเริ่มขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆจนต้องยืนกันตั้งแต่ชิซูโอกะ (จังหวัดที่มีภูเขาไฟฟูจิ) วันนั้นทัศนียภาพไม่ดี คาดว่าฝนจะตกอีกแล้ว ดังนั้นมองไม่เห็นฟูจิ (รอดตัวไป เพราะบอกคณะจากไทย ผิดช่วงจากที่ต้องดูก่อนถึงชิซูโอกะ แต่ดันบอกเป็นให้ดูหลังชิซูโอกะ ก็เลยไม่เห็นแม้แต่ฐานของฟูจิ) ระหว่างทางผ่านนะโกย่า เมืองแห่งโตโยต้าด้วย ซึ่งเมืองนี้ขึ้นชื่อ ปลาไหลอร่อย แต่พวกเราคงไม่มีโอกาสชิมปลาไหลเมืองนี้ เนื่องจากไม่มีเวลาวิ่งย้อนกลับมา ถึงอย่างไร ก็ได้ชิมปลาไหลอร่อยที่ตลาดซึกิจิแล้ว (ชุดที่พวกเราสั่งทานกันในร้าน มีปลาไหลมาให้ตัวหนึ่งด้วย มิน่าชุดนั้นถึงได้แพงกว่าชุดอื่นๆ)
และแล้วก็มาถึง เกียวโต ตามเวลาเป๊ะ (ชินคันเซน ขึ้นชื่อเรื่องความตรงเวลา ทำสถิติไว้ คือ ช้าเฉลี่ยทั้งปี สิบสองวินาที) และตามคาดเป๊ะ คือ คนลงเกียวโตมากกกกก เพราะวันนี้ถึงแม้จะเป็นวันพฤหัสแต่เป็นวันขอบคุณแรงงานของที่นี่ ซึ่งเป็นวันหยุดประจำชาติ ก้าวแรกที่เหยียบเกียวโตจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่กะมาเที่ยวดูโมมิจิที่นี่กัน (คนญี่ปุ่น ก็เหมือนคนไทยที่วันหยุดทีคนก็แห่กันไปเที่ยวที่) สรุป แทนที่จะเจอผู้คนพลุกพล่านที่โตเกียว ดันมาเจอที่เกียวโตซะนี่
เนื่องจากหอเราไม่ได้อยู่เมืองเกียวโต แต่อยู่ที่โอบาคุ เมืองอุจิ (เมืองที่ชาเขียวดีที่สุดในญี่ปุ่น) ดังนั้นต้องต่อเจอาร์ไปอีกยี่สิบกว่านาที ก็ถึงแล้ว ถึงปุปหนุ่มๆก็ต้องเอาของไปเก็บ ส่วนสาวๆก็เดินสำรวจเมืองกันทันทีครับ นึกว่าหลงหายไปไหนซะแล้ว ก่อนเริ่มเที่ยวของวันนี้ ก็กะหาอะไรกินง่ายๆก่อน บริเวณสถานีก็มีร้านอาหารจีนเปิดขายแล้วร้านหนึ่ง ดูภายนอกธรรมดามาก แต่เปิดอยู่ร้านเดียว ก็กินร้านนี้แหละ เข้าไปปุ๊ปเหมือนตอนอยู่โตเกียวอีกแล้วครับ คือดูภายนอกไม่ได้ต้องดูข้างไหน สรุปคือ ร้านนี้เป็นร้านดังประจำโอบาคุ สังเกตจากลายเซ็นคนดังที่มากินร้านนี้ ติดอยู่เต็มร้านเลยครับ อยู่มาตั้งนานเกือบแปดเดือนพึ่งรู้วันนี้แหละว่ามีร้านดังอยู่ตรงนี้ด้วย แต่เดี๋ยวก็ต้องย้ายแล้ว คงมีโอกาสกินร้านนี้กับคณะจากไทยนี่แหละ
ทานเสร็จ อิ่มท้องแล้ว ตามแผนว่าวันนี้ฝนตก ประกอบกับภายในเกียวโตคนเยอะ เลยกะว่าจะไปอควาเรี่ยมที่โอซาก้ากัน จึงเริ่มออกเดินทางไปต่อรถที่สถานีเกียวโต (ต่อไปนี้ สถานีนี้จะปรากฏอยู่ในทริปนี้บ่อยมาก เพราะเวลาจะไปไหนก็ต้องมาต่อที่นี่ประจำ) ใช้เวลาจากสถานีเกียวโตแค่ยี่สิบแปดนาทีก็ถึงสถานีโอซาก้าแล้ว นั่งชินไคโซคุไปนะ หรือชื่อไทย รถเร็วใหม่ ซึ่งมีวิ่งบ่อย ทุกสิบห้านาทีแถมช้ากว่าชินคันเซนแค่เก้านาที เลยได้ใช้บริการบ่อย (จังหวะมักไม่ค่อยตรงกับชินคันเซน ดังนั้นรถนี้มาก็ขึ้นประจำ) ถึงโอซาก้าก็ต้องต่อใต้ดิน ที่วิ่งอยู่บนดิน (ไม่ต้องงงครับ มันเรียกว่าซับเวย์สายจูโอ ซึ่งวิ่งผ่านใต้ดินใจกลางเมืองโอซาก้า แต่ตอนไปใกล้ท่าเรือ บ้านเรือนไม่ค่อยแน่นแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมุดใต้ดินให้เปลืองตังค์ จึงสร้างให้ลอยขึ้นมาเหมือนบีทีเอสบ้านเรา) ไปสถานีโอซาก้าโกะ หรือ แปลเป็นไทยคือ ท่าเรือโอซาก้า ซึ่งอควาเรียมอยู่บริเวณที่เขาเอาแถบท่าเรือเก่ามารีโนเวชั่นใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยว อควาเรียมนี้ขึ้นชื่อด้านแสดงสัตว์น้ำที่อยู่บริเวณแปซิฟิคริม หรือรอบๆมหาสมุทรแปซิฟิคนั่นเอง มีแทงค์ถึงสิบสามแทงค์ ถือเป็นอควาเรียมระดับโลกเลยที่เดียว ค่าเข้าก็สองพันเยน แต่ถือว่าคุ้มมาก
ก่อนเข้าไปพวกเราก็หยุดดูการแสดงประมาณ เอาไว้เรียกลูกค้า หรือเอนเตอเทนท์คนที่มาเที่ยวย่านนั้น เป็นการแสดงตลกผสมกับโชว์ฝีมือการโยนคลับที่จุดไฟไว้ สองคนช่วยกันแสดง ช่วงแรกก็เป็นการโยนหกอัน นอกจากโยนของตัวเองแล้ว ต้องมีการโยนไปให้อีกคนด้วยนะ นับถือเลย หลังจากนั้นก็เข้าอควาเรียม ช่วงแรกของการเดินในอควาเรียม เพราะยังไม่รู้แกวของที่นี่เลยต้องเบียดกับผู้คนเพื่อจะได้ดูปลาต่างๆ แต่ความจริงแล้วแทงค์แต่ละแทงค์สูงมาก แล้วเราสามารถเดินลงไปได้เรื่อยๆ ในแต่ละชั้นก็สามารถเห็นสัตว์น้ำได้เหมือนกัน ไม่น่าเบียดกับชาวบ้านเลย ใช้เวลาในนั้นประมาณสามชั่วโมง ออกมาอีกทีมืดแล้ว ความจริงตอนนี้ที่ญี่ปุ่นแค่ห้าโมงเย็นก็มืดเหมือนทุ่มหนึ่งแล้ว ออกมาก็ถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาสประดับไฟ และฉลามวาฬประดับไฟหน้าอควาเรียม ลืมบอกไปในนั้นมีไฮไลต์อยู่หลายชนิดเหมือนกัน ฉลามวาฬก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้มีเพนกวิน ปลาโลมา โอะ เพียบจำไม่หมด ลองดูรูปจากเสาร์ วิท นุ้ย ณีแล้วกัน ถ่ายไว้เพียบ อ้อ อีกอย่างเนื่องจากวิทอยากกินทะโกะยากิ แล้วไอ้เนี่ยนะมันมีต้นกำเนิดมาจากโอซาก้า เผื่อไม่ให้เสียเที่ยวก็เลยซื้อกินกันซะหน่อยระหว่างทางกลับจากอควาเรียมไปสถานีรถไฟ เสียดายต้องรีบขึ้นรถไฟได้กินตอนมันเย็นแล้ว วิทเลยบอกว่าไม่ค่อยอร่อยเท่าไร
เพื่อให้วันนี้สบายๆ และมีเวลาไปซื้อกับข้าว มาทำกินกัน ก็ต้องกลับเร็วหน่อย เพราะซุปเปอร์ของถูกแถวบ้านมันปิดเร็วสองทุ่มก็ปิดแล้ว ห้างส่วนใหญ่ในเกียวโตก็ปิดสองทุ่มเหมือนกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้ปิดเร็วขนาดนี้ คงเพราะคนเขามีกิจกรรมอย่างอื่นทำนอกจากการเดินห้าง ไม่เหมือนบ้านเรา พอสองทุ่มปั๊ปเขาก็คงขี้เกียจเดินห้างแล้วมั้ง
เย็นนี้เลยได้กินข้าวผัดฝีมือเสาร์ อร่อยนะเนี่ย ยังพอจำรสชาติได้อยู่ แม้ว่าเครื่องปรุงจะเป็นญี่ปุ่นก็เถอะ ไม่ครบสูตรเหมือนเมืองไทย อิ่มไปอีกมื้อหนึ่ง แต่แปลกทั้งๆที่วันนี้กลับเร็วกว่าปกติมากไหงนอนดึกเหมือนทุกวันก็ไม่รู้ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้น มีเวลาก็เลยนั่งคุยกัน ไปๆมาๆก็นอนดึก ตื่นเร็วอีกแล้ว คิดไปคิดมา พวกแกนี่ก็อึดเหมือนกันนะ หรือว่าเป็นประเภทชาร์จเร็ว เวลานิดหน่อยบนรถก็เต็มแล้ว (แซว)

No comments: