Saturday, December 23, 2006

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (2)


Day 6 The real first day in Kyoto (Nov. 24)
แม้ว่าพวกเราจะหลีกเลี่ยงผู้คนอันมหาศาลที่มาเที่ยวเกียวโตในวันหยุด (เมื่อวานเป็นวันหยุดประจำปี) แล้วก็ตาม แต่ตอนที่ไปเปลี่ยนเจอาร์ที่สถานีเกียวโต พวกเราก็ได้เจอกันคลื่นมหาชนที่จะนั่งเจอาร์ไปอาราชิยะม่า (Storm Mountain) หนึ่งในจุดที่โมมิจิสวยที่สุดในประเทศ และคาดได้เลยว่าผู้คนที่อาราชิยะม่าต้องเยอะแน่ๆ เพราะการจะไปภูเขานั้นได้มีรถไฟสามสาย และหนึ่งรถบัส นี้แค่ผู้คนในสายเจอาร์ยังขนาดนี้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแผนไปเริ่มต้นทริปจากบนสุดของย่านก่อน (บริเวณนี้มีจุดที่น่าสนใจมากมาย จึงเลือกบางจุดเท่านั้น ที่น่าสนใจ)
พวกเราเริ่มต้นวันด้วยการนั่งโรแมนติคเทรน ซึ่งจะนั่งจากอาราชิยะม่าก็ได้ แต่ไปนั่งจากสุดสายสถานี Kameoka ย้อนมาน่าจะดีกว่า เพราะคนน่าจะน้อยกว่าขึ้นต้นสาย (จากการคำนวณจากผู้คนที่ลงเจอาร์สถานีอะระชิยะม่า) ดังนั้นจึงนั่งเลยไปอีกหน่อย ก็ถึงอีกฝั่งของโรแมนติคเทรน แต่แม้กระทั่งพวกเรามาฝั่งนี้แล้วก็ตาม คนก็ยังเยอะอยู่ดีทำให้ไม่สามารถจองรอบสิบเอ็ดโมงได้ ต้องขึ้นรอบเที่ยงแทน (รถไฟมีแค่ชั่วโมงละขบวน) แต่ก็ทำให้พวกเราได้ออกนอกโปรแกรมมั้งคือ สำรวจบริเวณรอบๆสถานี Kameoka ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ก็ไปพบศาลเจ้าชินโต สวยดี โมมิจิก็แดงสวยด้วย แต่ไม่สามารถเดินไปได้ เพราะมีแม่น้ำ Hozu กั้นอยู่ แต่ก็ไม่พ้นความสามารถในการอยากถ่ายรูปของพวกเราไปได้ พวกเราก็ยืนอยู่ฝั่งแม่น้ำฝั่งนี้แล้วก็ถ่ายให้ศาลเจ้าเป็นแบล็คกราวน์ นอกจากนี้จากตำแหน่งนั้นก็เห็นทัวร์ล่องเรือแม่น้ำโฮซุด้วย ความจริงคอร์สปรกติคนเขาจะนั่งโรแมนติคเทรนขึ้นมาแล้วก็ล่องเรือกลับถึงจะครบสูตร แต่ว่าเรือมันแพงตั้งสองพันเยน (เท่ากับอควาเรียมเลยนะเนี่ย) พวกเราก็เลยนั่งเจอาร์ขึ้นมา นั่งโรแมนติคเทรนลงไป แค่หกร้อยเยนเอง คุ้ม (ฮะๆ) อ้อลืมบอกไปสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของสถานี Kameoka ก็คือ ตัวทะนุคิ คงรู้จักกันบ้างนะ สัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น ที่สามารถแปลงกายเป็นคนได้ ชอบหลอกคน เช่น แกล้งปลอมตัวเป็นสาวชาวบ้าน แล้วเชิญให้คนหลงทางเข้าไปพักในบ้าน เลี้ยงข้าวเย็น ให้ที่พัก แต่พอตอนเช้าตื่นขึ้นมากลับปรากฏว่า เมื่อคืนกินใบไม้ นอนห่มใบไม้อยู่ ประมาณเนี้ยแหละ พวกเราแน่นอนว่าต้องถ่ายรูปกับรูปปั้นฝูงทะนะคิแน่นอน ไม่งั้นเสียชื่อมือกล้องจากไทยหมด
ได้เวลาพวกเราก็ได้ขึ้นโรแมนติคเทรนเสียที เส้นทางเลียบแม่น้ำโฮซุ พวกเราอยู่บนเขา มองลงไปที่แม่น้ำที่แทรกผ่านระหว่างเขา (ส่วนใหญ่แม่น้ำในญี่ปุ่นจะเป็นลักษณะไหลผ่านซอกเขา) แม้ว่าจะไม่ค่อยมีน้ำ เพราะนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ฝนน้อย น้ำก็น้อย แต่ก็ได้อารมณ์ดี นอกจากนี้ก็มีโมมิจิเต็มสองข้างทาง เสียดายถ่ายรูปลำบาก เพราะรถไฟมันค่อนข้างเร็ว (เอ หรือว่าพวกเราไม่ถนัดถ่ายภาพเคลื่อนไหวหว่า) ก็เลยไม่ค่อยมีรูปมาฝาก แต่ว่ามันสวยจริงๆนะ (บริเวณเดียวกันจะเห็นต้นซากุระโกร๋นไม่มีใบอยู่เต็มไปหมด ทำให้มั่นใจได้ว่า ฤดูใบไม้ผลิที่นี่ก็จะสวยอีกเหมือนกัน) ตอนอยู่บนรถ เขาก็เข้าใจเอนเตอร์เทนต์ผู้โดยสารนะ มีผู้ชายใส่หน้าการเทนงู (เทพในตำนานของญี่ปุ่น จมูกยาว ถือพัดซึ่งสามารถพัดลมพายุได้) มาเล่นกับผู้โดยสาร มาถ่ายรูปด้วย แล้วก็พูดอะไรฮาๆตลอด (ฟังไม่ออกหรอกนะ แต่สังเกตจากคนญี่ปุ่นที่ฮากับมุขของเทนงู) พวกเราก็ได้ถ่ายคู่กับเขาด้วยนะ คือพวกเราถ่ายกันเอง แต่เขาโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เข้ากลางกล้องพวกเราเลย เออ ดีแฮะ หกร้อยเยน มีเซอร์วิสอย่างนี้ด้วย
ขากลับเราก็ไม่ได้ลงสถานีปลายทาง Saga Torokko แต่ลงก่อนป้ายหนึ่ง คือสถานี Arashiyama Torokko (โทรอคโคะ คือชื่อบริษัท ต้องเขียนแยกเพราะว่าบริเวณนั้นมีสถานีเจอาร์ด้วย) เพราะกะจะเดินเที่ยวบริเวณนั้นไล่ลงไปที่เจอาร์ Saga-Arashiyama จะได้ไม่ต้องเดินย้อนไปย้อนมา พอลงที่สถานีบรรยากาศสดใสซึ่งหาได้ยากเหมือนกันในทริปนี้ ช่วยตกแต่งบริเวณนั้นให้ดูสวยขึ้นไปอีก (อะระชิยามะ สวยอยู่แล้ว แต่มีแดดก็สวยขึ้นไปอีก) พวกเราก็มาถึงทางแยกว่าจะเลือกคอร์สไกล หรือคอร์สใกล้ แน่นอนครับ เดินมาทั้งทริปแล้ว ระยะทางแค่นี้....... หวั่นใจครับ เลือกทางสั้นดีกว่า พวกเราก็เลยเริ่มเดินจากสถานีไปตามเส้นทางป่าไผ่อันเลืองชื่อของอะระชิยาม่า สังเกตคนเดินขึ้นมาเยอะมาก แต่ฝั่งที่เราเดินลงไปน้อยกว่ากันมากๆ ทำให้คิดว่าดีแล้วที่เลือกเส้นทางต่างจากชาวบ้าน เดินมาเรื่อยผ่านมาทางด้านหลังของวัด Tenryuji ที่ขึ้นชื่อว่าสวนสวยแห่งหนึ่ง แต่ค่าเข้าห้าร้อยเยน แถมดูจากภายนอกก็รู้ว่าสวนมันใหญ่ ก็จะเดินหมดหมดแรงก่อน พวกเราก็อาศัยมุมสวยๆที่เห็นได้จากภายนอกถ่ายรูปกัน นี้ขนาดแค่บริเวณขอบๆของสวนนะ ยังออกมาสวยขนาดนี้เลย ถ้าถ่ายข้างไหนจะสวยขนาดไหนเนี้ย
ผ่านบริเวณด้านหลังและข้างๆของวัดเทนริวจิมาแล้วก็เจอศาลเจ้าชินโตเล็กๆ (ลักษณะเด่นของอะระชิยะม่าอีกอย่างหนึ่งคือ ศาลเจ้า และวัดเล็กๆจำนวนมาก เรียงรายไปตามทาง แทรกตัวอยู่ในภูเขาทั่วบริเวณ แต่ละที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง พยายามจะทำความเข้าใจนะ แต่ก็ไปได้ไม่กี่ที่เอง) แต่คนเข้าไปขอพรกันมากเลย ก็พยายามอ่านอยู่เหมือนกันว่ามันมีความสำคัญอย่างไร รู้แต่ว่ามันเป็นที่ฝึกตนของเจ้าชายสมัยก่อน เจ้าชายองค์นั้นคงดังมั้ง เลยทำให้ศาลเจ้านี้สำคัญไปด้วย พวกเราก็อาศัยศาลเจ้านี้เป็นที่ฝึกในการขอพรตามแบบชินโตด้วย วิธีการก็คือ โยนเหรียญห้าเยนลงในกล่องก่อน เขย่าสายที่ต่อไปยังกระดิ่ง (ประมาณว่าปลุกเทพเจ้าให้ได้ยินเสียงขอพรของเรามั้ง) ตบมือสองครั้ง แล้วพนมมือขอพรได้เลย ก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนขอพรว่าอะไร แต่ดูดีมากเลย เนียนไปกับคนญี่ปุ่น
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินมาทางถนนใหญ่เส้นหลักของการมาเที่ยวอะระชิยาม่า บรรยากาศเปลี่ยนไปทันทีเลย กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว คึกคักๆ ร้านค้าสวยๆเต็มไปหมด แล้วก็พวกเรายังเจอกับทางเข้าด้านหน้าของวัดเทนริวจิอีก สรุปเส้นทางที่เดินมาเป็นเส้นทางเลาะวัดนั้นมานี่เอง วัดใหญ่จริงๆ เดินตั้งนานกว่าจะรอบ ดีแล้วไม่เสียตังค์เข้าไปในวัด เพราะว่าคงหมดแรงตายในวัดก่อน
เป้าหมายต่อไปของพวกเราก็คือ จุดแลนด์มาร์ค ของย่านนี้ ก็คือ สะพานข้ามจันทร์ (Togetsukyo) นั่นเอง เป็นสะพานที่เวลาเขามาถ่ายทำสารคดี ถ่ายรูปลงหนังสือต้องถ่ายให้ติดสะพานนี้ แล้วมี อะระชิยาม่า เป็นแบ็คกราวน์ พวกเราก็เอามั้ง ถ่ายไปก็สังเกตเห็นรถติด ยาววววววววมาก ดีแล้วที่พวกเราเลือกเดินทางด้วยรถไฟ แน่นหน่อยแต่ไม่ติด ฮิๆ
เนื่องจากพวกเราใช้เวลาอยู่ที่อะระชิยาม่านานมาก จนไม่เหลือเวลาไปเที่ยวที่อื่นอีกแล้ว ประกอบกับหิวมาก ตอนเช้ากินแค่ขนมปัง ตอนเที่ยงยังไม่ได้กิน ตอนนั้นก็บ่ายสอง บ่ายสามแล้ว เราก็เลยพาไปกินร้านดังประจำเกียวโตซะเลย เป็นร้านข้าวหน้าหมูทอด ชื่อคัทซึคุระ เป็นแฟรนไชส์มีหลายสาขาอยู่เหมือนกันในเกียวโต ร้านที่เลือกอยู่อิเซตันสถานีเกียวโต เพราะเราต้องมาต่อรถไฟกลับโอบาคุที่นี่อยู่แล้ว ตอนเข้าไปนี่เนื่องจากเป็นเวลาที่ชาวบ้านเขาไม่กินกัน (คนญี่ปุ่นค่อนข้างกินข้าวกันเป็นเวลา) จะบ่ายก็ไม่ใช่ จะเย็นก็ยังไม่เย็น ทำให้พวกเราครองร้านไป เพราะมีพวกเรากลุ่มเดียว แน่นอนครับพวกเราสั่งข้าวหน้าหมูทอดของดังประจำร้านทุกคน (ในร้านยังมีข้าวหน้าอย่างอื่นให้เลือกอีก เช่น หน้าไก่ทอด หน้าคอรอคเกะ) แบบธรรมดาเป็นเนื้อนำเข้า แบบหรูหน่อยเป็นเนื้อในประเทศญี่ปุ่น พนักงานน่าจะเป็นนักศึกษามหาลัยมาทำพาร์ตไทม์ พูดอังกฤษได้นิดหน่อย เราเลยสบายไปเลย ไม่ต้องส่งภาษาญี่ปุ่นมั่วๆของเรา ซึ่งบางครั้งก็สื่อสารกันผิด (แฮ่ๆ) จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนสั่งเนื้อญี่ปุ่น รู้แต่ว่าเนื้อมันนุ่ม ดูดีกว่ากันเยอะ สงสัยคราวนี้ต้องลองสั่งมากินเองบ้างแล้ว แต่ก็เริ่มชักเบื่อเหมือนกัน กินหลายครั้งแล้ว เพราะว่าเวลามีแขกต่างบ้านต่างเมืองมา ก็ต้องพามาร้านนี้เพราะมันดัง อร่อย แล้วราคาก็ไม่แพง พันเยนต้นๆเอง (เวลาคำนวณว่าเวลาอะไรแพงไม่แพง ให้เอาสิบหาร มันจะได้อารมณ์แบบประมาณค่าครองชีพญี่ปุ่น เทียบกับเงินเดือนซึ่งแค่คนที่จบป.ตรีมาใหม่ๆ เงินเดือนยังอยู่ที่ราวๆสองแสนเยนเลย) แถมเพิ่มข้าว เพิ่มซุป เพิ่มผักฟรีอีกต่างหาก (ตรงนี้แหละที่เราชอบ) ค่อยๆทานซึบซับบรรยากาศร้าน ตกแต่งเป็นแบบญี่ปุ่นประยุกต์ คือ ได้อารมณ์แบบญี่ปุ่น แต่ไม่ถึงขนาดต้องนั่งบนเสื่อทะทะมิกินข้าว กินเสร็จก็มืดแล้ว (ห้าโมงเย็นก็มืดแล้ว) จะไปเที่ยวไหนต่อก็ไม่ได้แล้ว เลยตัดสินใจเที่ยวตึกสถานีเกียวโตนี่แหละ ความจริงแล้ว เราชอบตึกนี้มาก เป็นการออกแบบที่สวยผนวกกับประโยชน์ใช้สอยได้ดี เช่น ไดไคดัง หรือแปลเป็นไทยคือ บันไดใหญ่ (ได แปลว่าใหญ่ ไคดัง แปลว่าบันได) คงเคยเห็นลักษณะที่จัดคอนเสริต์กลางแจ้งในสวนสาธารณะของญี่ปุ่นกันใช่ไหมครับ มันจะเป็นลักษณะเวทีอยู่ข้างล่าง แล้วสร้างที่นั่งคนดูเหมือนบันไดไล่ขึ้นไปข้างบน ซึ่งที่นี่เขาทำมันตรงกลางตึก คือตึกล้อมรอบ เวทีอยู่ข้างล่าง บันไดที่เอาไว้ใช้ขึ้นตึก ทำกว้างมาก กลายเป็นที่นั่งคนดูไปในตัวได้เลย (คนที่ขี้เกียจเดินขึ้นบันได ก็สามารถขึ้นบันไดเลื่อนข้างๆได้นะ เขาออกแบบมาคำนึงประโยชน์ใช้สอยไว้แล้ว) ตอนแรกกะว่ามีเวลาจะพาชาวคณะจากไทยเที่ยวอยู่แล้ว ประจวบเหมาะจังหวะได้ในวันนี้ ไม่ต้องไปไหนไกลแล้วเที่ยวมันต้องตึกสถานีเกียวโตมันนี่แหละ
แรกสุดก็ขึ้นไปดาดฟ้าก่อน เสียดายพระอาทิตย์ตกแล้ว อดเห็นบรรยากาศยามเย็น แต่ก็ได้เห็นเมืองในบรรยากาศยามค่ำคืนแทน เมื่อมองไปที่สถานีจะเห็นเจอาร์ทั้งธรรมดา และชินคันเซนวิ่งเข้าออก สถานีตอนกลางคืน เปิดไฟสว่างๆ ดูสวยไปอีกแบบ ลืมบอกไปว่าบริเวณสถานีมีแลนด์มาร์คของเมืองอีกอย่างอยู่ด้วย คือ เกียวโตทาวเวอร์ คงรู้จักโตเกียวทาวเวอร์ใช่ไหมครับ ความจริงแล้วโตเกียวทาวเวอร์ สร้างมาเพื่อส่งสันญาณโทรทัศน์ช่อง NHK (ญี่ปุ่นกำลังจะหยุดแพร่ภาพระบบอนาล็อค เปลี่ยนเป็นดิจิตอลในปีสองพันสิบเอ็ด ดังนั้นจะมีการสร้างโตเกียวทาวเวอร์กันไหมเพื่อรองรับการแพร่ภาพดิจิตอล ดังนั้นเราจะได้เห็นโตเกียวทาวเวอร์โฉมใหม่ในปีสองพันสิบเอ็ดนี่เอง) และเกียวโตทาวเวอร์ก็สร้างมาเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน (แค่สร้างมาส่งสันญาณภาพ ยังสร้างซะยิ่งใหญ่อย่างนี้เลย) โดยสร้างเป็นรูปเทียนญี่ปุ่นสมัยก่อน ถึงแม้ไม่ใหญ่เท่าโตเกียวทาวเวอร์ แต่ก็ดูกลมกลืนกับเมืองเก่าอย่างเกียวโตได้ดีเหมือนกัน พวกเราก็ชักภาพไปหลายเหมือนกัน
ต่อจากดาดฟ้าพวกเราก็เดินลงมาตามไดไคดัง บนเวทีวันนี้ไม่มีการแสดงอะไร แต่มีประดับไฟ และต้นคริสมาสต์ยักษ์แทน พร้อมกับการแสดงไฟประดับที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามเพลงที่เล่น เพลงมีอยู่หกเพลงด้วยกัน (เดือนพฤศจิก็เริ่มบรรยากาศคริสมาสกันแล้ว คนญี่ปุ่นนี้ชอบเทศกาลนี้กันมากจริงๆ) บรรยากาศดูด้วยตาเปล่านี้สวยมากเลย แต่ถ้าถ่ายรูปมันจะออกมามืดๆเพราะแสงมันน้อย มีแสงแค่จากต้นคริสต์มาส และบริเวณรอบๆ แต่ก็มีเรื่องฮาๆนะ เพราะพวกเราพยายามถ่ายกันให้สวยให้ได้ แต่มันก็แสงน้อยประจำ มีแต่ไอ้วิทนี่แหละ โชคดีอยู่คนเดียวเข้ากล้องตอนเพลงอะไรก็ไม่รู้รู้แต่จังหวะนั้นไฟประดับมันสว่างมาก ถ่ายออกมาวิทเลยดูสว่างไปเลย พอพยายามจะถ่ายอีกก็เปลี่ยนเพลงซะแล้ว แถมขี้เกียจรอมันวนมาเพลงเดิมอีก คนอื่นเลยอดภาพสว่างๆเลย โชคร้ายหน่อยนะครับ ชาวคณะ ผมมันคนพื้นที่ อยากมาอีกก็ค่อยมาอีก (ฮิๆ)
ตอนนั้นที่สถานีก็หนาวมากเพราะ ไดไคดัง มันทำแบบเปิดโล่ง ก็ไม่ไหวกันแล้วกลับบ้านกันดีกว่า กลับมาคนอื่นยังหิวกันได้อีกแน่ะ เพิ่งกินกันมาตอน สี่ห้าโมงเย็นเอง ข้าพเจ้าเติมข้าวคัทซึคุระไปหลาย ไม่ค่อยหิวเท่าไร รอบดึกก็เลยกินได้นิดหน่อย รีบนอนหลับเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตะลุยอีก

No comments: