Wednesday, December 13, 2006

Trip Japan Nov. 19-28, 2006 – Tokyo Episode(1)





ผมยกบล็อก การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นจากการเขียนบันทึกการเดินทาง ของพี่ฉั่วให้เพื่อนๆอ่านนะครับ ประหยัดแรงของวิทเยอะเลย อ่านแล้วรู้สึกดีจัง
Adisak Chalermthanakom
606-8255 Japan, Kyoto
Sakyo-ku, Kita-Shirakawa
Nishi-Senoushi 43
Kawata Apartment



Trip Japan Nov. 19-28, 2006 – Tokyo Episode

Day 1 (Nov.19)
วันแรกของการเดินทาง เสาร์ วิท นุ้ย นี เดินทางจากสุวรรณภูมิ มาถึงสนามบินนานาชาตินาริตะประมาณเจ็ดโมงเช้า แต่ใครจะรู้เล่าว่า คนที่นั่งชินมาถึงโตเกียวเวลาเก้าโมงกว่าๆ จะมาถึงที่นัดพบสถานีเคย์เซย์อุเอโนะ (สถานีอุเอโนะมีหลายเจ้า เลยต้องเรียกชื่อสายรถไฟด้วย) ก่อนคณะจากไทยเป็นชั่วโมง สำรวจได้ว่าเกิดอาการหลงสนามบินนาริตะ และผ่านขั้นตอนมากมายกว่าจะได้ขึ้นรถไฟออกมาจากสนามบินนาริตะ แถมเกือบตกรถไฟอีกต่างหากทั้งๆที่อยู่ตรงชานชลาของเคย์เซย์แล้ว เพราะดันเหลือบไปเห็นชานชลาของเจอาร์อยู่ตรงหน้า เลยต้องวิ่งไปสำรวจ ซึ่งความจริงแล้วรางรถไฟของทั้งสองเจ้าติดกันเลย มองทะลุเห็นกันหมด แต่เวลาลงไปที่ชานชลาจะต้องผ่านสถานีบนดินก่อน ซึ่งแยกกันชัดเจนอยู่แล้ว (กลัวไปได้)
และแล้วก็ได้เจอกันจนได้ตอนสิบโมงกว่าและก็เริ่มการเดิน ไม่ใช่การเดินทางนะครับ เดินคือเดินจริงๆ เพราะเวลาเขาเขียนในหนังสือไกด์ทัวร์ ว่าสถานีที่เชื่อมถึงกันในแต่ละย่านนั้น เขาไม่ได้บอกว่ามันไกลกันเท่าไร อย่างเช่น จากเคย์เซย์อุเอโนะ ไปใต้ดินสายแฮปปี้สถานีอุเอโนะ (ชื่อจริงๆคือ ฮิบิย่า แต่เนื่องจากวิทจำชื่อภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แล้วชื่อย่อของสายนี้คือ เฮช วิทจึงจำง่ายๆเป็น แฮปปี้) ก็อยู่ใกล้กันมากจริงๆ (ประชด) แถมบางช่วงต้องยกกระเป๋าขึ้นลงบันไดหลายขั้น เพราะไม่มีบันไดเลื่อนแถมกระเป๋าแต่ละคนก็สิบกว่าโลทั้งนั้น กะมาอยู่ญี่ปุ่นถาวรรึไหงคร้าบ
วันแรกและวันที่สองตัดสินใจกันว่าจะนั่งใต้ดินเพราะบ้านต้า เพื่อนนี ผู้แสนดีผู้ให้พวกเราพักโดยไม่คิดตังค์ทำให้ประหยัดไปได้คืนละคนละสองพันกว่าเยน แถมห้องพักก็สุดยอด เป็นแมนชั่นสุดหรูย่านรอปปองหงิ กลางเมืองโตเกียว สอบถามมาได้ว่าค่าเช่าเดือนละห้าแสนเยน (ฮ่าๆๆๆ ได้ทุนสามเดือนเพิ่งได้ค่าเช่าเดือนเดียว) เมื่อถึงที่ห้องก็จัดแจงวางของ แล้วก็เริ่มหิว เพราะคณะจากไทยไม่ได้กินข้าวเช้า ส่วนคนอยู่นี่กินมาตอนตีห้าก่อนนั่งชิน ก็ออกไปกินราเมงร้านที่ต้าแนะนำ ใครอยากกินราเมงอร่อยย่านรอปปองหงิ ถามเสาร์วิทนุ้ยนีได้นะ ถ้าพวกนั่นไม่ลืมเสียก่อน แล้วก็ไปซื้อร่มกันเพราะพยากรณ์ญี่ปุ่นบอกว่าฝนจะตก อุณหภูมิจะอยู่ระดับสิบองศา และแล้วก็เริ่มออกเดินทางไปวัดอะซะคุสะ วัดยอดฮิตของคนไทย งานนี้กางแผนที่เอาเลยครับ เดินเข้าประตูสายฟ้า ผ่านย่านขายของที่ระลึก รมควันธูป เข้าไปขอพรข้างในด้วยการโยนเหรียญห้าเยน ถ่ายรูปกับเจดีย์ห้าชั้นเป็นอันเสร็จพิธี แต่อากาศเป็นไปตามพยากรณ์มาก คือไม่เป็นใจให้พวกเราเลย ฝนตก แสงน้อย รูปออกมาก็หน้าดำไปตามระเบียบ อ้อ มีอยู่รูปหนึ่งที่หน้าสว่าง ด้วยกล้องวิท แต่เป็นฝีมือการถ่ายของฝรั่งมือโปรที่มาเที่ยวเหมือนกัน สรุป ฝีมือพวกเราไม่ถึงขั้น (ฮ่าๆๆ)
เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ คณะจากไทยอยากเห็นความหลุดโลกที่ฮาราจูกุ อยากเดินชิบุย่า ชอปที่ชินจูกุ ก็เลยนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีโอโมะเตะซันโดะ ชื่อยาวไปนิดแต่เป็นถนนที่สวยมากสายหนึ่งของโตเกียว เพราะมีต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง และตึกแบรนแนมสองข้างทาง แต่ แต่ ฝนตก แต่ละคนก็เลยไม่ได้ค่อยชื่นชมกับความงดงามเท่าไร แถมอากาศก็หนาว น้ำก็เข้ารองเท้า เลยเข้าไปหลบในโอโมะเตะซันโดะ ฮิล ซึ่งเพิ่งเปิดเมื่อปีนี้ เป็นห้างสูงหกชั้น แต่มองจากด้านนอกเป็นแค่ตึกสามชั้น อีกสามชั้นเป็นใต้ดิน ลักษณะภายในทำเป็นทางลาดเดินถึงกันหมดหกชั้นโดยไม่ต้องใช้บันไดเลื่อน (ไอเดียดี ให้ความรู้สึกเดินชอปไปตามถนนอันยาวไกลเรื่อยๆ ทั้งที่อยู่ในตึก) ตรงกลางเจาะให้โล่ง เป็นบันไดยาวมาจากชั้นใต้ดินสามขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนั้นกำลังมีการแสดงดนตรีแจ๊สอยู่ด้วย แต่หูไม่ถึงก็ได้แต่ฟังผ่านๆ สุดท้ายก็ไม่มีใครชอปเพราะว่าของมันแพงตามค่าครองชีพญี่ปุ่น ก็เลยถ่ายรูปเล่นกันข้างใน แล้วก็ออกมาเดินไปฮาราจูกุต่อ แถมถูกป้ายหลอก คือประมาณว่าเดินตามซอยเล็กๆก็ไปถึงฮาราจูกุได้ แต่ไม่ค่อยมีผู้คนเดิน แถมร้านก็น้อย ก็เลยต้องเดินย้อนออกมาถนนใหญ่อีกที และแล้วก็เดินถึงสถานีฮาราจูกุ ปากทางเข้าย่านหลุดโลก แต่ แต่ พวกเราไม่ไหวกันแล้ว ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง ฝนที่ตกเอา ตกเอาแม้ไม่หนัก แต่ก็สร้างความหนาวระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อน (มาเช็คที่หลังถึงได้รู้ว่าตอนนั้นประมาณเก้าองศา แล้วสำหรับคนที่เพิ่งมาจากไทยอุณหภูมิประมาณสามสิบสององศา เจออย่างนั้นเข้าไปก็เลยไม่รอด) ก็เลยตัดสินใจโทรกลับไปหาต้าที่ห้อง(ไม่มีกุญแจเข้าห้องอะ) แล้วก็เหมือนฟ้าประทานต้ากลับมาก่อนเวลา (ตอนนั้นประมาณห้าโมงเย็นแต่มืดเหมือนสองทุ่มบ้านเรา) ก็เลยกลับรอปปองหงิกันดีกว่า กลับมาถึงระหว่างทางเดินเข้าแมนชั่นต้า สายตาก็เหลือบไปเห็น ไซซิริยะ เป็นแฟมิลี่เรสเตอรอง ขายอาหารอิตาลี (ความจริง ก็พวกพาสต้า พิซซ่านั่นแหละ เรียกให้หรูไว้ก่อน) เคยกินมาแล้วที่เกียวโต ราคาก็ไม่แพง ก็เลยลองถามคณะจากไทยว่ากินเปล่า ก็เลยสรุปกันได้ว่ามื้อที่สองในญี่ปุ่นกลายเป็นอาหารอิตาลีไป (แป่ว) กินเสร็จ ระหว่างคุยเล่นกัน (ในร้านมันอุ่น เลยมีอารมณ์นั่งคุยกัน) ณีหลับไปเมื่อไรไม่รู้ก็เลยกลับห้องต้ากัน ได้อยู่ในห้องอุ่นๆ อาบน้ำอุ่นกัน แต่ละคนค่อยสดชื่นกันหน่อย พรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่

4 comments:

Anonymous said...

555
9 ว่าอ่านเร็วแล้วนะ อ่านไม่จบอะ
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอ่านต่อครับ
แต่อ่านแย้วอยากกินซูชิอะ
ว่าแต่มันอะหย่อยต่างจากที่กินที่เมืองไทยยังไงบ้างอะ
แล้วไอ้ข้าวกล่องที๋โน่น มันเหมือนกับข้าวกล่องที่ฟูจิ
หรือต่างกันแค่ไหนอะ ถามแต่เรื่องอาหารนี่แหละ หุหุ

Anonymous said...

ซูชิที่โน่นจากที่เมืองไทย คือว่าผมว่าของที่โน่นสดกว่าบ้านเรานะ รสชาดดีกว่าบ้านเรา อาจเพราะบ้านเราต้องทำให้ถูกปากคนไทยรสก้อเลยแปล่งไปบ้าง ข้าวกล่องที่ว่า ก้อคือ ซูชินั้นแหละ เพียงแต่ใส่กล่อง
นะ ถ้าหมายถึงเบนโต๊ะก้อคล้ายที่ฟูจินะ แต่พวกราเมง บะหมี่ผมาว่าที่โน่กินขาด อร่อยมาก

Anonymous said...

ไม่นะพี่ เบนโตะที่โน่นดีและหลากหลายกว่าฟูจิมากกก แอบรู้เพราะว่าตอนไป 50% ประทังชีวิตด้วยเบนโตะ T-T ไม่มีเวลากินไรดีๆเลยอ่ะพี่ อดมื้อกินมื้อสุดๆ
ที่เหลือก็กินแต่ราเมงยืนกิน -"- ชีวิตรีบเร่งงงงง

พี่ฉั่วขยันเขียนสุดๆของสุดๆ โบว์ว่าโบว์ยาวแล้วนะ ยอมแพ้เลยอ่ะ

Anonymous said...

เห็นด้วยกับความเหนน้องโบว์นะครับ ผมอาจจะอธิบายน้อยไปไหนนะครับเรื่องเบนโตะ แค่คิดก้อยังคิดถึงอาหารที่โน่นจังเลย อร่อยมาก