Monday, December 25, 2006

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (4)


Day 8 Cake, Osaka, Furiake and Pocky (Nov. 26)
หลังจากผ่านเรื่องขนหัวลุกมาเมื่อคืนแล้ว วันนี้พวกเราดีไซน์ไว้ว่าจะไปกินบุฟเฟ่ห์เค้กร้านดังอันดับหนึ่งในเขตคันไซกัน แต่ก่อนไปเนื่องจากมีรีเควสจากคณะจากไทยว่าต้องการชาเขียวไปฝากผู้ใหญ่ในเมืองไทย และพอดีเราก็อยู่กันที่เมืองอุจิ เมืองชาเขียวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ดังนั้นจึงเริ่มทริปด้วยการไปสถานีเจอาร์อุจิก่อน นั่งจากบ้านสถานีเจอาร์โอบาคุแค่ป้ายเดียวเอง แต่ต้องเสียเวลารอเราเพราะว่า วันนี้เจอาร์เรลพาสของเราหมดแล้ว เพราะเปิดใช้ก่อนเพื่อนๆสองวัน ของเราเปิดตั้งแต่วันแรกที่ทริปเริ่มเพราะเอาไว้นั่งชินคันเซนไปโตเกียวด้วย ส่วนเพื่อนๆเริ่มวันที่ไปทะเทะยาม่า วันที่สามของทริป ดังนั้นวันนี้เราต้องนั่งรถไฟเอกชนไปแทน เพราะมีบัตรเหมาวันของรถไฟเอกชนในเขตคันไซแทน ประหยัดดีแค่พันหกร้อยเยน ขืนนั่งเจอาร์ตามคณะจากไทย คาดว่าวันนั้นไม่ต่ำกว่าสองพันกว่าเยน
เพราะฉะนั้น คณะจากไทยต้องเช็คตารางเดินรถให้แม่นๆว่าจะลงไหน ไปโอซาก้าต้องต่อรถที่ไหนบ้าง แล้วถ้าหลงจะต้องทำไหง วันนี้เลยเป็นการผจญภัยเล็กๆของคณะจากไทยไป เริ่มต้นเจอาร์อุจิ แน่นอนครับไม่มีพลาด ก็มันแค่ป้ายเดียวนี่ แต่เราที่นั่งรถไฟเอกชนไปอุจิต้องต่อรถบัสไปเจอาร์อุจิเพราะว่าสถานีเคย์ฮันอุจิ (เคย์ฮันเป็นชื่อบริษัทรถไฟเอกชนสายหนึ่งในเขตคันไซวิ่งระหว่างเมืองเกียวโต กับโอซาก้า ดังนั้นเวลาตั้งชื่อสายเลยเอาชื่อเกียวโต โอซาก้ามาหนึ่งตัวอักษร คือ เคย์ จากเกียว ฮัน มาจากซาก้า แต่อ่านแบบสมัยก่อน เลยได้คำว่า เคย์ฮัน) กับเจอาร์อุจิ ถ้าเดินไปก็ไกลเอาการเหมือนกัน แต่เหมือนสวรรค์แกล้ง อุบัติเหตุที่เราไม่เคยเจอเลยในญี่ปุ่นตลอดแปดเดือนที่มาอยู่ที่นี่ ดันเกิดแถมขวางเกือบหมด เหลือช่องเดินรถไม่กี่เลนเอง เล่นเอารถบัสที่นั่งไปเสียเวลาเลย แถมไปถึงเพื่อนก็ยังไม่ได้ซื้อชาเพราะว่าอ่านไม่ออก แถมร้านชาตรงสถานีเจอาร์ดันไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ เราก็เลยพาไปร้านที่รู้จัก (ความจริงรู้จักแค่ร้านเดียว แถมที่รู้จักเพราะว่าเดินมั่วเข้าไป เลยรู้ว่าเป็นร้านดัง ชาเขียวก็เป็นของตราสัญลักษณ์ร้านตัวเอง ซึ่งปกติร้านที่พอเจอในเมืองจะเป็นร้านขายของฝากที่รับของคนอื่นมาอีกที) แค่ทางเข้าก็เก่าแล้ว รู้สึกร้านนี้จะมีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ร้านเลยยังคงสภาพบ้านญี่ปุ่น ภายในมีห้องชงชา บรรยากาศญี่ปุ่นๆมาก มีร้านน้ำชาสองโซน แบบเก่าๆคงเอกลักษณ์ญี่ปุ่นไว้ กับส่วนคาเฟ่ห์เป็นแบบญี่ปุ่นประยุกต์ เสียดายไม่ได้กิน เพราะว่าเช้าทานขนมปังมาแล้ว และราคาคาเฟ่ห์ร้านนี้ก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน (ฮิๆ เก็บท้องไว้กินบุฟเฟห์เค้กดีกว่า) คณะจากไทยซื้อไปหลายเหมือนกัน ร้อยกรัมพันเยนได้ แพงเหมือนกันนะเนี่ย ชาเขียวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
อ้อ ใช่ นอกจากนี้เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่ดังในอีกแง่หนึ่ง คือ เป็นเมืองที่ใช้เป็นฉากในตำนานของเกนจิ ซึ่งเป็นนิยายรักๆใคร่ของเจ้าชายองค์หนึ่ง นิยายเรื่องนี้ดังมากในญี่ปุ่น แถมเป็นนิยายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย แรกๆมาก็งงเหมือนกัน เพราะมันจะมีจุดที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง แล้วเขาจะทำป้ายเล่าเรื่องเป็นจุดๆไป ก็งงว่ามันเรื่องอะไรว่า มีหลายจุดทั่วไปในเมืองเลย
และแล้วพวกเราก็ต้องแยกกันที่เจอาร์อุจิ เพราะเราไปรถไฟเอกชน ส่วนคณะจากไทยไปเจอาร์ วันนี้ไปโอซาก้าเริ่มที่นัมบะ เป็นย่านดาวน์ทาวน์ของโอซาก้า ซึ่งโอซาก้ามีดาวน์ทาวน์ใหญ่ๆสองแห่ง คือ อุเมดะ (แปลว่าสวนบ๊วย สงสัยเมื่อก่อนตรงนั้นปลูกบ๊วยกันเยอะ แต่ตอนนี้กลายเป็นตึกไปหมดแล้ว) อยู่ทางเหนือของเมืองย่านเดียวกับสถานีโอซาก้า ส่วนนัมบะอยู่ทางใต้ ซึ่งจากอุจิมีทางรถไฟไปสถานีเจอาร์นัมบะเลยไม่ต้องผ่านสถานีเกียวโต (ถ้าไปอุเมดะ ผ่านสถานีเกียวโตก่อนจะเร็วกว่า) เส้นทางก็ยังไม่เคยไป แต่คณะจากไทยวันนี้ต้องไปเองแล้วครับ ต้องไปเปลี่ยนรถด้วย คิดในใจสนุกแน่ อย่าหลงนะเพื่อน ก็นัดกันที่สถานีนัมบะ ทางออกกลาง (Central Gate) ส่วนเราก็ต้องเปลี่ยนเราหลายรอบเหมือนกัน อย่างที่เล่ามาก่อนหน้านี้ว่า มีอุบัติเหตุรถชนระหว่างสถานีเจอาร์อุจิกับเคย์ฮันอุจิ ดังนั้นย้อนกลับไปละก็เสียเวลาตาย รถติดจนเลยหน้าสถานีเจอาร์อุจิไปอีก อีกฝั่งโล่งเลย เราเลยตัดสินใจไปหาสถานีรถไฟเอาข้างหน้าก็ได้ว่ะ ก็ได้นั่งรถไฟบริษัทคินเทตซึ เหลือเชื่อครับ นั่งสักพักหลับเลย คงเพราะนั่งคนเดียวมั้ง ไม่ต้องกังวลอะไร เรามันคนท้องที่ หลงก็กลับได้ ได้หลับสักหน่อยค่อยยังชั่วหน่อย สักพักใหญ่ๆก็ถึงสถานีคินเทตซึนัมบะ แต่ถึงแม้ว่าจะเรียกว่านัมบะเหมือนกัน แต่มันเป็นชื่อย่าน ลงมาป้าป หาแผนที่ก่อนเลยปรากฏว่าเจอาร์กับคินเทตซึไม่ได้ใกล้กันเลย ในใจก็คิดว่าสายแน่ พวกนั้นต้องถึงก่อนแน่ พอเดินไปถึงเห็น North Gate ก็พอดีกับคณะจากไทยกำลังเดินอยู่ในสถานีเจอาร์มุ่งหน้ามาทางเราพอดี ก็งงเพราะนัดกัน Central Gate นี่ไหงมาฝั่งนอร์ทละเนี่ย สอบถามได้ความว่ามันมีฝั่งนอร์ทกับ South Gate อ้าว เวรแล้วไหมละไปสถานีเจอาร์ใหญ่ๆทุกที่มีเซ็นทรัลหมด มีไอ้นัมบะเนี่ยแหละสถานีใหญ่ แต่มีแค่สองทางออก เกือบไปแล้วไหมละ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าต้องมีแผนสำรอง ประมาณว่าเกิดไม่มีเซ็นทรัล ก็ให้ออกฝั่งนอร์ทแทน อะไรประมาณเนี้ย
ถือเป็นโชคของพวกเราไม่ต้องเสียเวลาหากันอีก เจอกันโดยบังเอิญก็ดีแล้ว อ้อ ที่กลัวว่าเราจะถึงช้ากว่านั้น ปรากฏว่าคณะจากไทยต้องเปลี่ยนรถหลายรอบเหมือนกัน แถมจังหวะไม่ดี ต้องรอนาน เลยมาถึงหลังเรา นอกจากนี้ทุกคนอดชาร์จแบตในรถไฟครับ เพราะเราไม่อยู่ด้วย เลยต้องช่วยกันดูเอาเองว่าถึงสถานีที่จะต้องเปลี่ยนรถหรือยัง ฮ่าๆ ส่วนเราหลับสบาย
เป้าหมายของเราเมื่อถึงนัมบะคือ ตามล่าหาร้านเค้ก ตอนนั้นก็จะบ่ายสองแล้ว หิวอะ ถึงแม้จะแผนที่ที่จดมาจากเน็ตแล้วก็ตาม แต่เราเพิ่งเดินนัมบะครั้งนี้ก็ครั้งที่สองเอง แถมครั้งแรกเดินแค่เสี้ยวเดียวของย่านด้วย (ปกติมาเที่ยวโอซาก้า เดินแต่ย่านอุเมดะ) เสียวเหมือนกันจะพาเพื่อนๆมั่วอีก เริ่มเดินจากเจอาร์นัมบะ ผ่านไปตามเมืองใต้ดิน ชื่อ นัน นัน (มาจากชื่อย่านนัมบะ หรือนันบะ) ถูกแล้วครับเมืองใต้ดิน ที่ดูในรูปคงนึกว่าเดินในห้างละซิ แต่ที่เห็นร้านค้าเยอะแยะ มีทางเดินที่เหมือนเดินในแกลลอรี่นั้นเกิดจากการพัฒนาชั้นใต้ดินของห้างต่างๆและสถานีรถไฟที่อยู่ใต้ดินในย่านนั้นให้เชื่อมถึงกันหมด ทำให้เกิดเมืองใต้ดินขึ้นมา (ความจริงลักษณะอย่างนี้พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองใหญ่ เพราะที่ดินในญี่ปุ่นแพงมาก จึงมีการพัฒนาลงมาใต้ดินด้วย) ร้านค้าเยอะมาก ระหว่างทางเดินไปร้านเค้กก็แวะไปหลายร้านเหมือนกัน ดูท่าทาง ณี จะดีใจเพราะยังไม่ได้ชอปอะไรเลย ตรงนี้ร้านเยอะดี คนก็เยอะคึกคักดี ตอนนั้นฝนตกข้างนอกด้วย เดินใต้ดินสบายๆ ไม่ต้องกลัวฝนตก แถมอุ่นต่างหาก มีป้ายบอกทางอยู่เรื่อยๆด้วยไม่ต้องกลัวหลง จนในที่สุดออกมาทางสถานีรถไฟใต้ดินสายมิซุจิ (นัมบะมีรถไฟหลายสายมาบรรจบกัน ประมาณเกือบสิบสายได้มั้ง) เราก็พาออกมาเดินเห็นแสงตะวันมั้ง ออกมาตรงศูนย์กลางของย่านหลาย คือ หน้าห้างทะกะชิยาม่า กับห้าง 0101 (ชื่อห้างมันเขียนอย่างนี้จริงๆนะ) ตรงนี้มีตึกสวยๆหลายตึก หลายแชะไปหลายเหมือนกัน สังเกตได้ว่าฝนตกอยู่ เริ่มกลางร่มเดินกันแล้ว พวกเราเดินไปตามถนนมิซุจิ ซึ่งเชื่อมระหว่างนัมบะกับอุเมดะด้วย จนพวกเรามาถึงร้านเค้กจนได้ ร้านชื่อ Sweets Paradise แม้นว่าตอนนั้นเวลาจะล่วงเลยไปบ่ายแก่ๆแล้วก็ตาม คนยังเข้าคิวกันอยู่เลยครับ โฮ ถ้ามาถึงตอนเที่ยงไม่ต้องยืนรอหรือเนี่ย (เข้าคิวก็จริงแต่เขาจัดที่นั่งให้รอ แต่ก็ไม่มากนัก) ระหว่างรอก็ผูกมิตรกับสาวญี่ปุ่น พูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แถมน่ารักด้วย เสียดายมากับแฟน ที่คณะจากไทยได้คุยเพราะว่าเราไม่รู้วิธีการใช้เครื่องอัตโนมัติซื้อตั๋วไปกินในร้าน ร้านใช้ระบบให้จ่ายก่อนผ่านตู้อัตโนมัติ ตัวร้านเล็กมาก ประมาณตึกแถวขนาดห้องเดียว เขาเลยต้องตั้งโต็ะเรียงเดี่ยวตามความยาวร้าน อีกด้านเป็นครัวและที่วางอาหาร เห็นแล้วให้ความรู้สึกมากินที่ญี่ปุ่นจริงๆ ที่แพง ต้องประหยัดที่แบบนี่แหละ
พอถึงคิวก็โซ้ยละครับหิวแล้ว จ่ายไปพันสองร้อยแปดสิบเยน มีเวลาชั่วโมงครึ่ง มีอาหารหลัก เค้กสามสิบกว่าชนิด น้ำต่างๆ กินสปาเก็ตตี้อร่อยมาก เค้กก็อร่อย ไม่นึกว่ามากินแบบบุฟเฟ่ห์เลย แต่ว่าเค้กสู้เค้กที่ขายเป็นชิ้นๆไม่ได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ ร้านนี้มีจานหลักให้ด้วย แถมราคาไม่แพง ปกติกินบุฟเฟห์ในญี่ปุ่นอย่างถูกๆก็สองพันเยน พันเยนหาดีๆกินยากมาก อ้อ ลืมบอกไปว่าร้านนี้เป็นอันดับหนึ่งในหมวด บุฟเฟ่ห์ ไม่ใช่หมวดร้านเค้ก แต่พอดีเป็นบุฟเฟห์เค้ก สรุปมื้อนั้นกินเค้กไปหลายชนิดมาก ที่ยังจำรสชาติอร่อยได้อยู่รู้สึกเป็นเค้กชาเขียว เข้มข้นดี ส่วนจานหลักก็กินไปเพียบโดยเฉพาะสปาเก็ตตี้ อิ่มสบายท้องไปเลย
เป้าหมายต่อไปเป็น การตามล่าผงโรยข้าว (Furiake) จากการสำรวจจากเน็ตพบว่ามีร้านร้อยเยน Daiso แฟรนไชส์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอยู่ใกล้ที่สุดอยู่ที่สถานีนิปปอนบาชิ เดินไปเกือบกิโลได้ พวกเราก็เริ่มเดินจากร้านเค้ก ย่าน Shinsaibashi-suji ซึ่งตรงนั้นเป็นย่านสไตล์แบบ Shinkyogoku ที่เดินแถวซังโจเมื่อคืน (ความจริงมีทางเดินแบบนั้น มีหลังคาคลุมมาตลอดทางตั้งแต่ห้าง 0101 แล้ว แต่เลือกเดินถนนใหญ่เพราะความไม่เจนพื้นที่ เลยต้องพาคณะจากไทยถือร่มเดินกลางสายฝนเลย) คนเยอะมากกกกกกกก เยอะที่สุดที่เคยเจอมาในทริปนี้แล้ว เราก้มมองพื้นที่แปปเดียว คณะจากไทยหายไปจากสายตาเสียแล้ว แล้วผู้คนก็ใส่เสื้อสีโทนมืดกันหมด กลืนไปกับฝูงชนหมด (ก่อนมาลืมเตือนไปว่าให้เสื้อสีเจ็บๆมาด้วย เวลาเดินกับฝูงชน จะได้เห็นแต่ไกล) ก็กะว่าถึงแยกหน้าแล้วจะหยุด เพราะคิดว่าสาวๆเมื่อคลาดกันแล้วไม่น่าจะเดินต่อไปไกล สักพักก็เจอ เฮ้อ ดูถูกคนเยอะๆของที่นี่ไม่ได้เลย
ทางไปสถานีนิปปอนบาชิ มีทางเลือกสองทาง คือ เดินใต้หลังคาของย่านนั้นไปเรื่อยๆ หรือตัดไปทางถนน Dotombori ซึ่งมีร้านอันดับหนึ่งของประเทศอยู่หลายร้าน เช่น โอโคโนมิยากิ (พิซซ่าญี่ปุ่น) ร้านปู ร้านปลาปักเป้า แต่เนื่องจากเป็นย่านดัง ร้านดัง ราคาเลยดัง (แพง) ตามไปด้วย สำหรับพวกเราขอผ่านแล้วกัน แต่เนื่องจากวิทอยากกินทะโกะยะกิอันดับหนึ่งของประเทศ เลยพาเดินถือร่มกลางฝนไปทางโดโตมโบริ โชคดี ฝนตกคนไม่เยอะมาก เข้าแถวกันยาวไม่เท่าไร ไอ้วิทเข้าแถวไปนะครับ คนขายเห็นหน้ารู้เลยว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่น ส่งภาษาอังกฤษมาทันทีครับ แหม สมเป็นร้านดัง สงสัยคนต่างชาติมากินกันบ่อย ตอนนั้นสาวๆเห็นร้านร้อยเยนอยู่ข้างๆครับ ร้านเล็กถึงเล็กมาก แต่มีครับ มีผงโรยข้าวอยู่ด้วย มีหลากแบบหลากสไตล์ ไม่อยากเชื่อ ร้านเล็กแค่เนี้ย มีขายด้วย พอดูชื่อร้านถึงบางอ้อ เพราะมันคือร้าน Silk แฟรนไชส์อันดันสองนั่นเอง พอดีไม่ได้เช็คเจ้านี้มา เลยไม่รู้ว่ามีอยู่ใกล้ๆนัมบะด้วย ถือเป็นโชคอย่างมากเลยที่วิทอยากกินทะโกะยากิ ไม่งั้นพาเดินใต้หลังคาย่าน Shinsaibashi-suji ไปนิปปอนบาชิ ก็ไม่เจอร้านนั้นแล้ว ดีไม่ต้องเดินกันเกือบกิโลไปไกล
หลังจากเจอผงโรยข้าวโดยบังเอิญ พวกเราก็ออกจากย่านนั้นไปจุดหมายต่อไปของเรากันต่อ นั่นคือ อุเมดะ (คุ้มจริงๆมาวันเดียวได้เดินสองย่านดังของโอซาก้าเลย) เพื่อไปขึ้นเฟอร์ริสวีล หรือ ชิงช้าสวรรค์ยักษ์บ้านเรานั่นเอง การเดินทางสามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปได้เลย แต่ถ้าไปเจอาร์ก็ต้องอ้อมรอบเมืองผ่านเส้น Loop Line แถมต้องเดินไปเจอาร์นัมบะอีก ค่อนข้างไกลจากจุดที่พวกเราอยู่เหมือนกัน แต่แค่สองร้อยเยนกับรถไฟใต้ดิน คณะจากไทยเลยเลือกใช้บริการใต้ดินของเมืองโอซาก้าแทน ส่วนเราไม่ต้องเสียเพราะใช้ตั๋วเหมาหนึ่งวันของเอกชนในคันไซแล้ว (รถไฟใต้ดินส่วนใหญ่ดำเนินงานโดย เมือง เช่น Osaka city Kyoto city ซึ่งเป็นส่วนการปกครองท้องถิ่น ถือได้ว่าเป็นสายเอกชนสายหนึ่ง)
ถึงย่านอุเมดะ ซึ่งใหญ่กว่าย่านนัมบะอีก พวกเราเริ่มการเดินทาง เพื่อไป Hev 5 ที่ตั้งเฟอร์ริสวีล ซึ่งในเขตคันไซที่เราเห็นก็มีอยู่สามที่ คือที่อ่าวโกเบ อควาเรียมโอซาก้า (ที่นี่เคยเป็นอันที่สูงที่สุดในโลก แต่ดูเก่าๆแล้ว แถมวันที่ไปแถวนั้นฝนตกต่างหาก) และที่เฮฟ ไฟว์นี่แหละใหม่สุด แถมเป็นอันที่สร้างอยู่ในตึก จุดที่พวกเราต้องขึ้นไปเพื่อเริ่มขึ้นชิงช้านั้นอยู่ชั้นเจ็ดของตึก สำหรับเราแล้วรู้สึกว่าอันนี้แหละสวยที่สุดแล้ว ในบรรดาที่เราเคยไปมานะ เห็นทิวทัศน์กลางเมืองโอซาก้าได้ดีเลยที่เดียว เห็นตึกแฝดสัญลักษณ์อันหนึ่งของโอซาก้าด้วย บนตึกแฝดมีสวนลอยฟ้าด้วย แต่วันนั้นอากาศไม่อำนวยเลยไม่ขึ้นดีกว่า จำได้ว่าวิทตื่นเต้นใหญ่เลยตอนอยู่บนชิงช้า ถ่ายรูปเพียบ เพราะว่าวิวมองด้วยตาเปล่านี้เห็นแบบสามร้อยหกสิบองศา แสงสียามค่ำคืนของโอซาก้านี่ก็ไม่ใช่ย่อย เสียดายกระจกกอนโดร่าไม่ใสเพราะฝน แล้วก็เสียงน้อย เลยถ่ายออกมาไม่สวยเท่าที่ตาพวกเราเห็น สำหรับเรา ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาสิบห้านาทีที่ได้หยุดคิด ปล่อยใจไปกับวิวเมืองโอซาก้า ถือว่าคุ้มกับตังค์ที่เสียไปนะ คุ้มมากเลย ออกมาตรงทางออกเป็นชั้นร้านอาหารพอดี เดินดูหลายร้านเหมือนกัน น่ากินทั้งนั้น มีร้านออมเล็ตที่ณีอยากกิน มีร้านพาเฟ่ห์ด้วย เราชอบสั่งถ้วยใหญ่ๆ หนักเป็นกิโลมากินกับเพื่อนๆ แต่ยังอิ่มจากมื้อเที่ยงอยู่ เลยได้แค่ถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆ ไม่ได้ลองชิม
สถานีต่อไปคือ ร้าน Sanrio ที่เช็คมาว่าอยู่ตึกเดียวกันนั่นแหละอยู่ชั้นห้าปรากฏว่าเดินจนเมื่อยทั้งชั้นก็ไม่เห็นคิตตี้ซักตัว เรา วิท นุ้ย เลยลงมาชั้นหนึ่งหาอินฟอร์เมชั่น ลงมาปุปเป็นแบบเดียวกับที่พารากอนเลย เรามั่นใจว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้แน่ เลยปล่อยให้นุ้ยเข้าไปส่งภาษาอังกฤษกับเขา ที่นี่คงรู้แหละว่า แขกส่วนใหญ่ที่มาเดินเป็นผู้หญิง Ambassador แต่ละคนเป็นผู้ชายหมด เราแค่เห็นก็ขี้เกียจเข้าไปถามแล้ว ให้นุ้ยไปคุยกับหนุ่มๆดีกว่า ได้ความว่ามันอยู่ตึกเฮฟจริงนั่นแหละ แต่เป็นตึกเก่าชื่อ Hev Navio อยู่ข้างๆกันนั่นแหละ เฮ้อในที่สุดก็เจอน้อง Kitty ซะที ถึงร้านปล่อยให้วิทกับนุ้ยเข้าไปเลือกซื้อ ส่วน เรา เสาร์ ณี เมื่อยแล้ว นั่งลงกับพื้นข้างๆร้านนั่นแหละ ไม่ไหวแล้ว เอ พวกเรามาเที่ยวหรือว่ามาเข้าค่ายฝึก ร.ด. กันว่า เดินกันโหดจริงๆ
เมื่อหาซื้อของที่ต้องการได้แล้วตามโปรแกรม พวกเราก็ต้องแยกกันอีกแล้ว จากสถานีเจอาร์โอซาก้า นัดเจอกันอีกทีเจอาร์โอบาคุเลย ค่อนข้างมั่นใจว่าเพื่อนๆไม่น่าพลาด เพราะเส้นทางนี้เดินทางกันบ่อย เราก็บอกชานชลาไปว่าไปขึ้นชินไคโซคุที่ไหน แต่เนื่องจากสายนี้มันวิ่งยาวมาก เพราะฉะนั้นปลายทางไม่ใช่เกียวโต ตอนดูป้ายก็ไม่ได้เช็คให้มั่นใจว่ามันวิ่งไปทางเกียวโตหรือเปล่า หรือไปด้านหนึ่ง แต่คณะจากไทยก็เข้าไปเสียแล้ว เราก็เสียวอยู่ แต่คิดว่าเพื่อนๆเราฉลาด ไม่น่าขึ้นผิดด้านหรอก ฮิๆ (แต่ตอนนั้นเสียวจริงๆนะ กลัวคณะจากไทยหลง แล้วต้องไปรับไกล ฮะๆ แต่สุดท้ายก็บอกไปถูกขบวน) ส่วนเราเห็นเวลาใกล้สองทุ่มแล้ว ไปดูตารางรถไฟ เห็นเคย์ฮันขาดระยะพอดี มีเวลาเลยไปเดินเล่นสถานีเคย์ฮัน โยโดยะบาชิ ก่อน เพราะรู้ว่าเวลาสองทุ่มห้างเริ่มปิด อะไรที่ขายไม่หมด เขาจะเริ่มเอามาเซลล์ ตามแผนเลยครับ ไปถึงมิสเตอร์โดนัท กำลังลดครึ่งราคา ทำเป็นกล่องสิบชิ้นแค่หกร้อยเยนเอง (ปกติชิ้นละร้อยยี่สิบเยน) ซื้อกลับไปฝากคณะจากไทย และท้องตัวเองทันทีครับ เสียดายเราไม่ได้อยู่ใกล้ห้างแบบนี้ ไม่งั้นได้อ้วนตาย เพราะอร่อย แล้วก็ถูก
กลับมาถึงสถานีเคย์ฮัน โอบาคุ เริ่มกังวลใจอีกแล้วเพราะว่าเราเสียเวลาที่โยโดยะบาชิไปนานเหมือนกัน แต่ชาวคณะก็มาถึงช้ากว่าเราเสียอีกเพราะว่า นั่งรถเร็วจากสถานีเกียวโตมาโอบาคุ แต่ความจริงบ้านผมมีแต่รถธรรมดาจอดคร้าบ คณะจากไทยเลยต้องเสียเวลาเปลี่ยนรถอยู่นาน กว่าจะมาถึงโอบาคุได้ สรุปวันนี้ ถึงจะแยกกัน แต่ก็ไม่มีปัญหา ไม่หลง แต่ก็ได้เสียวบ้างบางจังหวะ คืนนี้กินกันง่ายๆ ที่ห้อง แถมได้มิสเตอร์โดนัทมาถุงใหญ่อีก สบายไปอีกหนึ่งมื้อ อ้อ วันนี้ทุกคนพร้อมเพรียงกัน เป่าผมในห้องนอนกันหมด เนื่องจากเรื่องของไอ้วิทเมื่อคืนนั่นแหละ ฮาดี

No comments: