Monday, December 25, 2006

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (3)



Day 7 Amazing Himeji Castle (Nov. 25)
หลังจากเที่ยวสบายๆในเกียวโตมาหนึ่งวันแล้ว ก็ตามแผนเดิมคือ วันหยุดออกไปเมืองอื่น หนีคลื่นมหาชนที่มาเที่ยวเกียวโต แต่ถึงจะไปเมืองอื่นก็เหอะ ที่เราจะไปมันเป็นแลนด์มาร์คของญี่ปุ่นเหมือนกันและไกลจากเกียวโตเป็นร้อยสามสิบกิโล ไกลพอดูต้องตื่นเช้ามากอีกแล้วครับท่าน จุดแรกของวันคือ ปราสาทฮิเมจิ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ปราสาทที่ยังหลงเหลือมาจากยุคซามูไร เพราะถูกทำลายไปจากการปฏิวัติเมจิ หรือการคืนอำนาจให้องค์จักรพรรดิเมจิ จากการครองอำนาจของโชกุนหรือหัวหน้าทางทหารจากตระกูลโตกุกะว่านั่นเอง นอกจากนี้ยังมีไฟสงครามโลก ที่ทำให้ปราสาทจำนวนมากเสียหายไปแล้วต้องสร้างกันใหม่ สี่ปราสาทที่ยังเป็นเช่นเดิมตั้งแต่ยุคซามูไร ได้แก่ ปราสาทฮิเมจิ ปราสาทฮิโกเนะ (อยู่จังหวัดชิกะ ข้างๆเกียวโต เคยเดินเล่นสวนรอบๆมาแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน) ปราสาทในนะโกย่า (จำชื่อไม่ได้) และปราสาทมัทซึโมโตะ ยังจำได้กันอีกหรือเปล่า ปราสาทมัทซึโมโตะ ก็อยู่มัทซึโมโตะ จังหวัดนะกะโนะ สถานีหนึ่งที่ชาวคณะต้องไปเปลี่ยนเจอาร์ไง สรุปพวกเรามาเที่ยวกันแปปเดียวได้ผ่านมาสองปราสาทแล้ว
ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสี่ปราสาท และเป็นปราสาทที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นด้วย วันนี้เป็นวันเสาร์คนเพียบแน่ ดังนั้นพวกเราก็ตื่นกันแต่เช้าอีกแล้วครับ ออกจากโอบาคุตั้งแต่หกโมงกว่า ไปต่อชินคันเซน โคไดมะ ที่สถานีเกียวโต ถึงแม้จะเป็นคลาส โคไดมะ แต่ก็วิ่งเร็วเท่ากับคลาสอื่นเพราะว่า ปลายทางเป็นสถานีชินโอซาก้า ซึ่งแค่สถานีเดียวจากเกียวโต และเนื่องจากเช้ามาก ชินคันเซนที่ตรงไปปราสาทฮิเมจิเลยยังไม่วิ่ง พวกเราก็ต้องไปเปลี่ยนชินคันเซนอีกที่ชินโอซาก้า คราวนี้เปลี่ยนเป็น ฮิคาริ เรล สตาร์ (Hikari Rail Star) เป็นรถรุ่นใหม่กว่าฮิคาริที่พวกเรานั่งมาจากโตเกียว วิ่งจากชินโอซาก้าไปฟุกุโอกะ บนเกาะคิวชู เกาะใต้สุดของสี่เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น พวกเรามาถึงฮิเมจิได้เร็วตามแผนคือแปดโมงสิบห้านาที เวลาเปิดปราสาทเก้าโมงเช้า แต่เผื่อเวลาไว้เดินเล่นระหว่างทางจากสถานีไปปราสาท และบริเวณรอบๆปราสาท ระหว่างทางมีต้นกิงโกะ หรือแป๊ะก้วยบ้านเรานั่นแหละ ใบกำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่าม สองข้างทาง พวกเราไม่พลาดเก็บรูปกันอยู่แล้ว แสงสวย ท้องฟ้าสดใสอย่างนี้หายาก ต้องเก็บภาพวันนี้เยอะหน่อยแล้ว ซึ่งกว่าพวกเราจะผ่านจุดสวยๆระหว่างทางจนมาถึงประตูปราสาทจริงๆได้ก็ปาเข้าไปเก้าโมงกว่าแล้ว เห็นไหมว่ามันสวยจริงๆ
ตอนซื้อตั๋วสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายบอกว่าที่นี่มีไกด์พูดภาษาอังกฤษได้ แถมฟรีต่างหากมีหรือจะพลาด พอพวกเรารีเควสไกด์ไปปั๊ป เขาก็เอาป้ายไกด์ออก แสดงว่าเช้าๆอย่างนี้มีแค่คุณไกด์ของเราคนเดียว เกือบอดได้ไกด์ภาษาอังกฤษแล้ว ลืมบอกไปเขาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่โรงเรียนแถวนี้ ที่ไม่เก็บตังค์เพราะว่า โครงการนี้เป็นอาสาสมัครช่วยกันทำให้เมืองนี้น่าท่องเที่ยว เป็นความร่วมมือจากชุมชนที่น่าชื่นชมจริงๆ เรารู้สึกชื่นชมเขาจริงๆนะ นอกจากนี้ถ้าขาดเขาแล้วละก็ไม่มีทางเดินเที่ยวชมได้สนุกอย่างนี้หรอก แล้วก็คงเสียเวลาหลงทางในปราสาทอีกนาน เพราะว่าทางเขา ทางขึ้นสลับซับซ้อนมาก สมัยก่อนเวลาสงครามต้องตั้งรับภายในปราสาท ทหารฝั่งตรงข้ามเข้ามาจะได้บุกได้ยากๆ เช่น
มีการทำลักษณะภายนอกให้หลอกตา ทำปราสาทให้ดูเหมือนมีห้าชั้น ด้านนอกมีกำแพงอยู่ ซึ่งในกำแพงนั้นมีอีกสองชั้น ความจริงแล้วรวมกันมีเจ็ดชั้น ดังนั้นเวลาศัตรูเข้ามาปีนไปได้ห้าชั้นก็นึกว่าหมดแล้ว
ประตูจำนวนมาก ทางภายในที่คดเคี้ยว บังสายตาไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีลักษณะเช่นไร คุณไกด์บอกว่าเป็นการสร้างเพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกกลัว เพราะคนเราเมื่อมองไม่เห็นก็จะจินตนาการไปเอง กลัวโน้นกลัวนี่ว่าข้างหน้าจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ประตูก็เตี้ยลงมาจากทางเดินมาก คุณไกด์ก็บอกว่าให้ทหารที่ไม่ระวัง วิ่งขึ้นมาก็โป๊กหัวอีก แต่ตอนนี้กลายเป็นทัวริสต์ต้องมาระวังแทนแล้ว มันเตี้ยได้ใจเหมือนกัน ตรงประตูพวกนี้เมื่อก่อนก็จะมียามรักษาประตูไว้ คุณไกด์ก็เล่าว่า เวลาขนน้ำเข้ามาในปราสาท เพื่อป้องกันการวางยา ยามต้องเช็คน้ำพวกนั้นก่อน แล้วก็ตายก่อนประจำ เพราะมันดันวางยามาในน้ำจริงๆ ยามเป็นตำแหน่งที่เสี่ยงตายก่อนจริงๆ
ตอนขึ้นไปก็มีทริกอีกมากมาย ทริคที่เป็นจิตวิทยาก็มีเช่น ผ่านประตูภายในเข้าไปมีสองทาง ทางหนึ่งมีลักษณะลาดขึ้น คนทั่วไปนึกว่าเป็นทางขึ้นปราสาท ก็ไปทางนั้นที่ไหนได้เป็นทางตัน ความจริงต้องไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทางลาดลง คนทั่วไปคงคิดว่าเป็นทางออกจากปราสาท แต่พอผ่านประตูเล็กๆไป กลับเป็นทางเดินต่อไปยังทางขึ้นปราสาท
บริเวณภายนอกยังไม่ได้เข้าปราสาท พวกเราก็งงว่าทำไมกำแพงข้างๆ บริเวณนี้ เขาเจาะรูเป็นรูปสามเหลี่ยมบ้าง กลมๆบ้างๆ คุณไกด์ก็แจงข้อสงสัยพวกเราว่า บริเวณนี้มักจะเป็นกับดักให้ศัตรูมาติดแถวนี้ แล้วทหารจะยิงธนูบ้าง ข้างหอกบ้างจากกำแพงมาฆ่า ที่เจาะกำแพงเป็นรูปต่างๆ ถือเป็นความเมตตาให้ระหว่างติดกับดักรอความตายมีของสวยๆให้ดูไว้ด้วย โฮ น่ากลัวอะ ถึงแม้จะเป็นการตายแบบสุนทรียก็เหอะ
บริเวณกำแพงก็มีทริค คือ นอกจากจะเข้าไปตามทางแคบๆแล้ว ศัตรูก็มักปีนขึ้นไปตรงกำแพง ตรงกำแพงบริเวณมุม เขาก็ทำให้ปีนได้ง่ายๆ แรกก็งงว่าทำให้ปีนง่ายๆทำไม คุณไกด์ก็บอกว่า เป็นเพราะต้องการหลอกให้ศัตรูปีนไปทางนั้น ความจริงแล้วข้างบนที่ดูเหมือนอะไรไม่รู้ ประดับปราสาท แต่เป็นช่องที่สามารถเทน้ำเดือดลงมาได้ สรุป หลอกให้ตายใจ ไปทางที่สบาย แต่เตรียมน้ำเดือดรอไว้อยู่แล้ว โหดว่ะ
ระหว่างทางขึ้นเขาก็ปลูกต้นไรไม่รู้เตี้ยเลี่ยไปกับพื้น เป็นหย่อมๆ บ้างที่ก็ใหญ่เหมือนกัน โดยเฉพาะมุมๆทางเดิน คุณไกด์บอกว่า ใบต้นเนี่ยมันลื่นมาก เวลาศัตรูบุกปราสาทก็ต้องวิ่งเข้ามาไช่ไหม เพื่อป้องกันห่ากระสุน ห่าธนูก็ต้องเตรียมโล่มาด้วย แต่เจอต้นไอ้เนี่ยมันลื่น ก็ล้มง่าย กลายเป็นเป้าให้ทหารเฝ้าปราสาทไป
นี้แค่ทางภายในกำแพงปราสาทเองนะครับ ยังไม่ได้เข้าตัวปราสาทจริงๆเลย ทริคเยอะมากกกกกกกก จำได้ไม่หมด ที่เล่ามาเป็นแค่บางส่วนเอง นี้ถ้าไม่ได้คุณไกด์มีหวังติดกับไปเยอะแล้ว นอกจากทริคพวกนั้นแล้ว พวกเราได้เห็นซากุระบานด้วย ใช่แล้วครับมันบานจริงๆ ผมไม่ได้โม้ คุณไกด์บอกว่ามันชื่อ ซากุระเดือนสิบ เป็นซากุระอีกพันธ์หนึ่ง พิเศษสุดตรงที่พันธ์ทั่วไปจะบานตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ และบานแค่อาทิตย์เดียวก็ร่วง แต่ซากุระเดือนสิบจะเริ่มบานตั้งแต่เดือนสิบลากยาวไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ทำให้พวกเราได้เห็นซากุระบานด้วย ช่างเป็นทริปที่คุ้มจริงๆ เห็นทั้งใบไม้แดง และซากุระบาน (ความจริง พวกเราก็เห็นต้นนี้แล้ว ที่อะระชิยะม่า แต่ไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไร ถ้าไม่ได้คุณไกด์ สงสัยป่านนี้ยังไม่รู้เลยนะเนี่ย) นอกจากต้นซากุระแล้วคุณไกด์ก็แนะนำถึงความหมายของการประดับกำแพง จะมีเหมือนตราสัญลักษณ์ประดับอยู่ตามหลังคากำแพง เป็นช่องๆไป มีหลายตรา ว่าตราเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่า ตระกูลใดเคยครอบครองปราสาทนี้มั่ง มีทั้งตราตระกูลโตกุกาว่า ตราตระกูลที่เคยครอบครองปราสาทนี้ และตราตระกูลไดเมียวเขตนี้(Lord ของเมืองนั้นๆ) เป็นรูปผีเสื้อ สวยดี รู้สึกตระกูลที่ครอบครองปราสาทฮิเมจิบ่อยที่สุด และตระกูลสุดท้ายก่อนการปฏิวัติเมจิ จะชื่อ มัทซึไดระ นะถ้าจำไม่ผิด
หลังจากผ่านทริคต่างๆ รอบปราสาท และแล้วในที่สุดพวกเราก็มาถึงตัวปราสาทจริงๆได้ซะที เล่นเอาเหนื่อยไปเลย ชั้นหนึ่งกับชั้นสองนั้น มองจากภายนอกไม่เห็นครับ เพราะเขาสร้างกำแพงบังเอาไว้ และเป็นชั้นใต้ดินของปราสาท ดังนั้นภายในมืดมาก คุณไกด์ก็บอกว่าเป็นทริค (ทริคอีกแล้วครับท่าน เป็นผมไม่บุกแล้วปราสาทนี้ ทริคเยอะ) เพราะเมื่อมองจากภายนอกท้องฟ้าสดใส แต่พอเข้ามาข้างในปราสาทกลายเป็นมืดได้ไงไม่รู้ ศัตรูจะได้หวั่นใจ กลัวขึ้นมา ตรงชั้นใต้ดิน พวกเราก็จะเห็นเสาสี่ต้นใหญ่มาก เป็นเสาหลักของปราสาท คุณไกด์บอกว่าตัดมาจากป่ารอบๆนี้ ทึ่งว่าเขาขนกันมาได้อย่างไร ทั้งเสาไม้นี้ แล้วหินที่ใช้ทำกำแพง ก้อนเบ้อเริ่มทั้งนั้น
เดินขึ้นไปเรื่อยๆในปราสาท เจออาวุธวางไว้เต็มผนัง ได้ความว่าเวลาโดนบุกแบบฉับพลันจะได้ไม่เสียเวลาเตรียมอาวุธ ไม่ต้องเอาออกมาจากคลัง ข้างในก็มีทริคอีกแล้วครับท่าน เยอะจริงๆจำไม่หมดอะ เช่น ผนังภายในที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงเป็นห้องลับ ทหารซ่อนตัวอยู่ได้ เอาไว้เซอร์ไพร์สศัตรู
ช่องที่ต่อมาจากปราสาทเล็กๆข้างๆ ซึ่งดูจากภายนอกจะไม่เห็นทางเดินเชื่อมนอกจากเดินลงมาข้างล่าง แต่ความจริงแล้วเขาได้สร้างทางเดินเชื่อมชั้นบนๆไว้ด้วย เอาไว้โจมตี และหลบหนีได้ด้วย แล้วพวกเราก็ได้เห็นช่องที่เอาไว้เทน้ำเดือดด้วย
ทางขึ้นชั้นหกที่สร้างไว้เล็กๆ หลบสายตาได้ ยังคงจำกันได้นะ ว่าเขาสร้างภายนอกไว้หลอกตาให้ดูเหมือนมีห้าชั้น พอเข้ามาข้างในขึ้นมาถึงชั้นห้าก็นึกว่าหมดแล้ว ไม่บุกต่อ แต่ความจริงมีทางขึ้นซ่อนอยู่อีก เป็นต้น
จนในที่สุดพวกเราก็มาถึงชั้นหกชั้นเจ็ดจนได้ คุณไกด์ก็ชี้ให้ดูเสาสี่ต้น แล้วบอกพวกเราว่า ยังจำได้ไหมที่ชั้นใต้ดินมีเสาหลักอยู่ มันมาสุดที่นี่แหละ เรารู้สึกว่าสมัยก่อนต้นไม้มันใหญ่จริงๆ บริเวณบนสุดนั้นตอนนี้กลายเป็นที่ตั้งศาลเจ้าเล็กๆ ตามระเบียบล่ะครับ ขอพรตามสไตล์ชินโตกันซะหน่อย ชั้นบนสุดจะเห็นทัศนียภาพเมืองฮิเมจิได้หมดเลย คุณไกด์ก็บอกว่าทางที่พวกเราเดินมาจากสถานีเจอาร์นะ เมื่อก่อนเป็นเมืองซามูไร ที่อยู่รอบๆปราสาทหลัก แต่ยังอยู่ในกำแพงปราสาท เมื่อก่อนบริเวณปราสาทไม่ได้มีแค่ที่เห็น แต่มีกำแพงล้อมอยู่ถึงสามชั้น ชั้นสุดท้ายไปสุดที่สถานีเจอาร์ฮิเมจิ ข้างในปราสาทก็มีการเก็บแผนที่สมัยก่อนแสดงให้ดูด้วย พร้อมทั้งเขียนบอกรายชื่อครอบครัวซามูไร แต่ละครอบครัวที่ครอบครองบ้านแต่ละบ้านในพื้นที่ปราสาท นอกจากนี้ยังมีเอกสารสัญญายืมเงินสมัยก่อนแสดงอยู่ด้วย คุณไกด์ก็เล่าว่า สมัยก่อนคนที่เขียนเป็นมีแต่ซามูไร ชาวบ้านลูกหนี้เขียน อ่านไม่ออกหรอก แถมเขียนหวัดอย่างนี้ ดังนั้นพวกซามูไรเลวๆก็หลอกชาวบ้านได้ด้วยวิธีนี้แหละ เขียนเงื่อนไขลงไปแต่ไม่ได้บอกชาวบ้าน เวลาจ่ายตังค์ ก็อ้างเงื่อนไขเหล่านั้น กรมการปกครองเมืองก็ต้องยึดเอาตามลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏอยู่ในหนังสือสัญญา เฮ้อ
ข้างบนเราจะเห็นสัญลักษณ์ของปราสาทด้วยนะ เป็นรูปปั้นปลา อยู่ตรงหลังคาบนๆ ไม่รู้ว่าใช่ปลาโลมาหรือเปล่า ไม่มั่นใจแต่ถ้าเป็นปราสาทนาโกย่าละก็มั่นใจได้เลยว่าเป็นปลาโลมา ตามความเชื่อเล่าว่า เนื่องจากปราสาทญี่ปุ่นสร้างจากไม้ทั้งหลังดังนั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ หรือศัตรูวางเพลิงละก็ ได้ไหม้หมดแน่ ดังนั้นเขาจึงสร้างรูปปั้นปลาไว้บนปราสาท เพราะเวลาไฟไหม้จะเกิดปาฏิหาริย์ปลาเหล่านั้นพ่นน้ำลงมาดับไฟได้ แต่คุณไกด์สรุปตอนท้ายให้ฟังว่า ปาฏิหาริย์เหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทำให้ปราสาทญี่ปุ่นจำนวนมากพังเพราะไฟไหม้ปราสาทนี้โชคดีที่ไม่เคยเกิดไฟไหม้ แม้แต่ไฟสงครามโลกก็รอดมาได้ จึงยังเหลือสมบูรณ์จนถึงทุกวันนี้
ขาลงพวกเราก็มุ่งลงมายังสวนภายในบริเวณปราสาท บริเวณนั้นก็เจอกับบ่อน้ำต้นแบบเรื่อง The ring คือ ก็ไม่ได้เป็นต้นแบบจริงๆหรอกนะ แต่บ่อน้ำเก่าๆของญี่ปุ่นมันให้อารมณ์น่ากลัวแบบในเรื่องนั่นแหละ คุณไกด์บอกว่ามันลึกมาก (ที่ต้องสร้างให้ลึกเพราะว่าเวลาศัตรูมาบุกมักจะล้อมอยู่นาน ให้อดข้าวอดน้ำ ดังนั้นภายในปราสาทต้องมีการขุดบ่อลึกมากๆเอาไว้ จะได้มีน้ำใช้ยามสงคราม) มองไม่เห็นใต้สุด ดูเก่าๆ และบรรยากาศทึมๆ ทำให้เป็นสัญลักษณ์ความน่ากลัวในหลายๆเรื่องหนังผีญี่ปุ่น แถมไอ้อันที่พวกเราไปดูนั้น เป็นอันที่มีเรื่องเล่าด้วยว่าสมัยก่อนสาวใช้ภายในปราสาทถูกฆ่าตายที่นี่เพราะความผิดที่ทำจานแตกไปหนึ่งใบ (ชีวิตคนมีค่าแค่จานหนึ่งใบ โฮ) หลังจากตายไป ยามค่ำคืน คนในปราสาทจะได้ยินเสียงคนนับจาน ทีละใบ ทีละใบ จากหนึ่งถึงเก้า แต่จะไม่ถึงสิบ หนึ่งชุดมีสิบใบ เพราะว่าแตกไปใบ สาวใช้คนนั้นก็จะนับใหม่อยู่อย่างนั้นแหละ หนึ่งถึงเก้า วนเวียนไปเรื่อยๆ ฟังแล้วบรื้อหนาว ที่ญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าเรื่องผีเยอะมาก ด้วยเฉพาะฤดูร้อน สาเหตุก็คือ ฤดูร้อนญี่ปุ่นร้อนมากสำหรับคนญี่ปุ่น ดังนั้นต้องเล่าเรื่องผีกันฟังเพราะว่าเรื่องผีทำให้ขนลุก รู้สึกหนาวขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นพวกเราไปหน้าใบไม้ร่วง หนาวอยู่แล้ว ฟังไปนี่ยิ่งหนาวใหญ่ การเล่าเรื่องผีในฤดูร้อนเป็นเรื่องจริงนะ เราไม่ได้โม้เอง ฟังมาจากอาจารย์ที่สอนวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกที
ผ่านบริเวณนั้นมา เจอที่ตั้งแสดงโชว์หลุมศพสมัยก่อน เป็นหินก้อนใหญ่ๆตัดเป็นสี่เหลี่ยมยาว เจาะตรงกลาง มีฝาโลงแสดงด้วย คุณไกด์ก็ชี้ให้พวกเราดูว่า แม้นว่าปราสาทนี้จะไม่เคยเสียหาย จนต้องสร้างใหม่ แต่ก็มีการบูรณะอยู่เรื่อยๆ ตอนเขาขุดรอบๆปราสาทพบโลงเหล่านั้น นอกจากเอามาจัดแสดงแล้วยังเอาไปสร้างกำแพงได้ด้วย แล้วคุณไกด์ก็ชี้ให้ดูหลักฐานตรงกำแพงปราสาทให้ดู คิดในใจ มันเข้าใจรีไซเคิลแฮะ
สุดท้ายตรงทางออกปราสาท คุณไกด์ก็ชี้ให้พวกเราสังเกตความใหญ่ของหินที่ใช้ทำกำแพงบริเวณนั้น พวกเราก็สังเกตเห็นจริงๆว่าบริเวณนั้นหินมันใหญ่จริงๆ ใหญ่มาก นึกว่าเป็นทริคอีกแล้ว คุณไกด์บอกว่า เวลามีแขกมาเยี่ยมเยือนปราสาท เวลาเจ้าของปราสาทมาส่งที่ประตู แขกจะได้เห็นหินใหญ่ๆพวกนี้ แสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของตระกูลเจ้าของปราสาท ว่าสามารถสร้างปราสาทจากเห็นใหญ่ๆเหล่านั้นได้ หินใหญ่ๆต้องใช้กำลังคนมากในการขนส่ง ในการยกขึ้นไปสร้างกำแพง เป็นการโชว์ออฟของเจ้าของปราสาทนั่นเอง จนถึงสุดท้ายนี้เกร็ดจากคุณไกด์นี้เยอะมากจริงๆ ต้องขอบคุณคุณไกด์คนนี้มากเลย ถ้าขาดเธอไปละก็ ทริปปราสารทฮิเมจิไม่มันอย่างนี้แน่ และคงหลงออกมาไม่ได้ ฮิๆ ขอบคุณคุณไกด์มากเลยครับ
ระหว่างทางกลับไปสถานีเจอาร์ฮิเมจิ พวกเราก็ต้องรีบทำเวลากันอีกแล้ว เดินมั่งวิ่งมั่ง (คาดไว้แล้วเช่นกัน ว่าขากลับต้องรีบ ดังนั้นเลยรีบมาแต่เช้าจะได้มีเวลาซึมซับบรรยากาศระหว่างทางด้วย) อาการเจ็บขาของเสาร์ก็ทำท่าไม่ดี ทริปหฤโหด เล่นเอาเสาร์เจ็บแผลเก่าเลย พวกเราก็เลยไม่รีบกันมากเท่าไร แต่ก็รีบนั่นแหละ ช้าไปก้าวเดียว ขึ้นลิฟท์ไปชานชลา พอประตูลิฟท์เปิด รถไฟออกต่อหน้าต่อตาเลย ฮะๆ คิดในใจช่างมันรอขบวนต่อไปก็ได้ว่ะ อีกสิบห้านาทีเอง ไม่ง้อขบวนนี้แล้ว (อย่างนี้เขาเรียกว่าองุ่นเปรี้ยว รึเปล่าเนี่ย)
สถานีต่อไปที่พวกเราจะไปคือ Tarumi ตอนนี้อยู่เมืองโกเบแล้ว แต่เสียดายไม่มีเวลาเดินดาวน์ทาวน์ เพราะวันนี้กะจะมาชอปปิ้งที่ Outlet เสร็จแล้วมีนัดรุ่นพี่เกียวโตพาไปซื้อของฝากที่ดาวน์ทาวน์ของเกียวโต เลยจำเป็นต้องตัดดาวน์ทาวน์โกเบออก (โกเบได้ชื่อว่ามีการประดับไฟในช่วงคริสมาสต์ ปีใหม่ได้สวยที่สุดในประเทศ แต่ไม่ได้ประดับเพื่อเทศกาลเฉลิมฉลองนะ แต่ประดับเพื่อผู้เสียชีวิตในสงคราม หรือแผ่นดินไหวใหญ่โกเบ ไม่มั่นใจฟังเพื่อนเล่ามาอีกที แต่ช่วงที่คณะจากไทยมาเที่ยวยังไม่เริ่มประดับ ไม่อย่างนั้นไปแน่นอน) แต่ว่าที่เอาท์เล็ตในวันนี้ถือว่าไม่โชคดีเอาเสียเลย เพราะว่าไม่มีของเข้าตาคณะจากไทยเลย ก่อนหน้านี้ไปมาเองอีกที่หนึ่ง อยู่ใกล้สนามบินคันไซ เห็นแล้วเกิดกิเลศเพราะมันสวย แล้วก็ลดราคากระหน่ำมาก เช่น โค้ทผู้หญิงตัวเกือบสองหมื่นเยนเหลือสามพันกว่าเยน แต่วันนี้ไม่เจอเจ๋งๆ ทำให้ทุกคนเซฟตังค์ได้ ฮะๆ
แต่ก็ได้กินแมคโดนัลด์ญี่ปุ่นที่นี่แหละ เพราะต้องการความรวดเร็ว กะไม่พาไปกินแมคแล้วนะเนี่ย อุตส่าห์มาญี่ปุ่น แต่ก็เลี่ยงไม่ได้คราวนี้และ แต่เพื่อนๆบอกว่าอร่อยดี ก็โอเคนะ อ้อ ตอนสาวๆไปเดินชอปเราก็เมื่อยเลยหาที่นั่ง สายตาก็เหลือบไปเห็นการแสดงโชว์ ประมาณว่าเอนเตอเทนท์แขกที่มาเที่ยวเอาท์เล็ต ปรากฏว่า คู่ดูโอที่แสดงที่อควาเรียม โอซาก้า วันนี้มันเดินสายมาแสดงที่เอาท์เล็ตโกเบด้วย สงสัยชะตาต้องกัน เขาก็เล่นการแสดงเดิมนะมุขเดิม แต่เราก็ไปดู ว่างนิไม่รู้ทำไร เห็นแล้วก็คิดได้ว่า เขาทำเพราะใจรักมากเลยนะเนี่ย เพราะต้องเดินสายบ่อย เล่นก็ต้องเล่นกลางแจ้ง อุณหภูมิตอนนั้นก็สิบกว่าองศา แต่ชุดนี่เหมือนเดิมเลยนะ คงความฮาของชุดไว้ ไม่สนความหนาว แต่พอเล่นเสร็จก็ใส่โค้ท นั่งรอตรงนั้นรอเล่นรอบต่อไป สรุปเห็นแล้วทึ่งในความอดทน มากกว่าความฮา เพราะดูมาแล้วรอบหนึ่งที่อควาเรียม
นอกจากนี้บริเวณนั้นยังมีจุดน่าสนใจอีกจุดคือ สะพานอะวาจิ เชื่อมระหว่างคันไซกับเกาะชิโกกุ หนึ่งในสี่เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น ได้แก่ ฮอกไกโด ฮอนชู (โตเกียวกับคันไซอยู่นี่แหละ) ชิโกกุ คิวชู สะพานนี้สร้างหลังแผ่นดินไหวใหญ่โกเบครั้งล่าสุด เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลก (จำไม่ได้แล้ว ว่าเป็นสะพานยาวที่สุดในประเภทอะไร) ออกแบบมาให้รองรับแผ่นดินไหวขนาดคราวที่แล้ว แต่ก็ไม่มีใครอยากลองนะว่ามันทนได้อย่างที่ออกแบบมาหรือเปล่า ถึงแม้วันนั้นทัศนวิสัยจะไม่ดี แต่เห็นความยาว ความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว สวยเข้ากับอ่าวแถวนั้นเลย เสียดายกล้องพวกเราไม่สามารถเก็บความยาวของมันได้ เลยต้องถ่ายตัดออกมาเป็นตอนๆ
ขากลับพวกเราได้ตื่นเต้นอีกแล้วเพราะว่าชัตเติลบัสที่ไปสถานีรถไฟเจอาร์มันออกทุกครึ่งชั่วโมง ก็คำนวณเวลาเผื่อไว้แล้วนะ แต่คนนี้แน่นรถมากเลย พวกเราเป็นห้าคนสุดท้ายที่ได้ขึ้นไปยืน เราเนี่ยยืนแบบประมาณว่าเขาปิดประตูได้พอดี เด็กๆกลุ่มข้างหลังมากลุ่มเบ้อเร่อเลย เลยอดขึ้นต้องเดิน ซึ่งแม้จะไม่ไกลมาก แต่ขึ้นบัสก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เดินไปนะน้อง พวกพี่ไปก่อน เมื่อยแล้วเดินมาหลายวัน
จากสถานีโกเบพวกเราก็ขึ้นชินไคโซคุกลับเกียวโตเช่นเดิม ไม่ได้นั่งชินคันเซนเพราะจังหวะไม่ได้ แถมสถานีชินโกเบของชินคันเซนอยู่ไกลอีก ต้องเปลี่ยนรถสองรอบกว่าจะถึงเกียวโต แต่ไม่เป็นไรนั่งชินมากันสามรอบแล้วคุ้มแล้วแหละ สำหรับเรานั่งสี่รอบ รวมรอบที่นั่งจากเกียวโตไปหาคณะจากไทยที่โตเกียวด้วย
ถึงสถานีเกียวโต ตอนเดินเล่นในสถานีก็เห็นชานชลาที่ศูนย์ด้วย เลยให้วิทถ่ายเก็บไว้ แปลกดีไม่รู้ว่า มีตั้งแต่ตอนสร้างเลยหรือเปล่า หรือเพิ่งมาต่อเติมทีหลัง ชานชลาศูนย์เป็นรถไฟด่วนพิเศษที่จะไปโทยาม่า ยังจำกันได้ไหมเอ่ย โทยาม่าเส้นทางหิมะไง ถ้าจะไปที่นั่นจากเกียวโต ไม่มีชินคันเซนต้องนั่งเจอาร์ด่วนพิเศษไปแทน ตอนเห็นในเว็บ เส้นทางนี้สวยมากเลยนะ เพราะเลาะเขา ผ่าภูเขาสูง ไปเรื่อยๆ เห็นรูปแล้วอยากนั่งสายนี้เหมือนกัน แต่พอดีจังหวะอากาศที่ทะเทะยะม่ามันดีตอนที่อยู่โตเกียว ทำให้ได้นั่งจากโตเกียวแทน ตอนยืนถ่ายรูปชานชลาพอดีรถไฟออกด้วย หัวรถจักรสวยดีแต่ถ่ายไม่ทัน ที่นี่ถ้าคนชอบรถไฟมาเที่ยวคงสนุกดี เพราะว่ามีรถหลายแบบมากๆ ถ่ายรถไฟก็ไม่เบื่อแล้ว
ต่อจากสถานีเกียวโต พวกเรามีนัดที่ดาวน์ทาวน์ เรียกว่าย่านซังโจ กับชิโจ หรือ The Third Avenue หรือ The Forth Avenue ซึ่งต้องต่อใต้ดิน ไปถึงที่แรกเลยครับที่พวกเราแวะคือ ร้านร้อยเยน เพื่อหาของฝากกัน แต่ขาดผงโรยข้าว ซึ่งปกติจะเจอง่ายมากในร้านร้อยเยน เราก็เลยพามาร้านที่มันเป็นทางผ่านในเส้นทางของพวกเรา มารู้ที่หลังว่าร้านร้อยเยนมีแฟรนไชส์หลายเจ้ามาก เจ้าที่เราผ่านประจำมันไม่มีผงโรยข้าวขายอะ ไม่เคยกินก็เลยไม่เคยสังเกต รู้แต่ว่ามันมีร้านร้อยเยนอยู่ตรงสถานีซังโจเนี่ยและ (เรื่องตามล่าของฝากนี่ สามารถตัดออกมาเขียนเป็นอีก Episode หนึ่งได้เลยนะเนี่ย ฮะๆ)
ออกมาจากใต้ดิน ผ่านรูปปั้นซามูไรคนหนึ่งที่จงรักภักดีองค์จักรพรรดิมาก แม้ตอนที่องค์จักรพรรดิเมจิ ย้ายบ้านไปโตเกียวเพื่อยึดครองอำนาจกลับจากโชกุนแล้ว โดยบอกว่าเป็นการไปชั่วคราว เหตุผลที่ต้องบอกอย่างนั้นเพราะว่า ขืนบอกความจริงว่าย้ายเมืองหลวง คนในเกียวโตจะมีปฏิกิริยาต่อต้านแน่นอน เหมือนกับถูกหักหลังอย่างนั่นและ แต่ซามูไรคนนี้ก็ยังยึดมั่นที่จะภักดีต่อ และอยู่รอคอยการกลับมาของจักรพรรดิจนตายอยู่เกียวโตนี่แหละ รูปปั้นนี้สร้างให้นั่งคำนับไปทางพระราชวังเกียวโต เรื่องนี้ฟังมาจากอาจารย์สอนวัฒนธรรมครับ
จุดต่อมาอยู่ที่สะพานซังโจ ซึ่งสมัยก่อนน่าจะเป็นสะพานสำคัญสำหรับการค้า เพราะมีรูปปั้นบุคคลสำคัญสองคน (ไม่รู้ว่าใคร เพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นที่สลักอยู่ตรงนั้นไม่ออก แถมยังไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าของสองคนนี้จากอาจารย์เลย) รู้สึกเป็นพ่อค้านะ ที่เห็นเป็นต้นไม้เหลือแต่กิ่งตรงรูปปั้นนะ เป็นต้นซากุระนะ ฤดูใบไม้ผลิมันจะออกดอกซากุระ ระย้าห้อยลงมาเป็นแบล็คกราวน์หลังรูปปั้น สวยอีกแล้วครับท่าน
หลังจากเตร็ดเตร่ฆ่าเวลา เพราะมาถึงซังโจก่อนเวลานัดกับเพื่อนๆเกียวโต ก็ได้เวลาไปร้านขายของฝากอยู่ในย่าน Shinkyogoku ถนนสายคนเดินที่เชื่อมระหว่างซังโจไปถึงชิโจ ถึงร้านคณะจากไทยก็ได้เวลาชอปของฝากแบบญี่ปุ่นๆซะที หมดไปคนละหลายพันเยนเหมือนกัน คุณลุงคุณป้าเจ้าของร้านทั้งลดทั้งแถม เพราะว่าพวกเราเป็นคนไทย แถมมากับรุ่นพี่ที่สนิทกับเจ้าของร้านเองเลยสบายไปเลย อ้อ ได้เข็มกลัดสัญลักษณ์เกียวโตครบสิบแบบก็ที่นี่แหละ ปกติเข็มกลัดนี้จะอยู่ในตู้หมุนไข่ เข็มกลัดจะใส่อยู่ในกล่องใสๆรูปไข่ เวลาจะซื้อต้องหมุนเสี่ยงโชค ไม่รู้ลูกไหนจะหล่นลงมา ดังนั้นเปลืองตังค์กว่าจะครบทุกแบบ แต่ด้วยความสนิทกับคนไทย แกเอามาให้เลือกเลย ไม่ต้องเสี่ยงโชคหมุน เลยทำให้ได้ครบหมดสิบแบบ (วันก่อนไปเดินเล่นกับพวกรุ่นพี่ ผ่านร้านแก พอดีแกมีส้มเพียบ แกเลยแบ่งมาให้ซะหลายกิโล ฮิๆ อร่อย)
ชอปนานเริ่มหิวแล้วครับ แต่กะว่าจะเดินหาของฝากกันต่อดังนั้นจึงหาขนมกินง่ายๆกันก่อน ผ่านร้านทะโกะยากิพอดี ทันทีครับ หนึ่งแพ็คแปดลูก กินกันห้าคน (เอ หรือว่ากินกันสองแพ็คหว่าจำไม่ได้แล้ว) ร้านนี้เป็นร้านชื่อดังประจำเกียวโต ทำรสชาติเกียวโต ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่างจากเมืองอื่นอย่าง รู้แต่อร่อย (วิทชอบร้านนี้ที่สุด) ขนาดคนทำหน้าตายังคล้ายปลาหมึกเลย โปรดสังเกตเปรียบเทียบหัวที่เลี่ยน โล่ง หน้าทู่ๆคล้ายปลาหมึก แถมเขาเอาจุดนี้มาโปรโมทร้านด้วยนะ
หลังจากนี้เป็นทริปล่าผงโรยข้าว เข้าไปหลายร้านเหมือนกันแต่ไม่เจอเลย เล่นเอาเพื่อนๆเหนื่อยไปเลย โทษทีนะคร้าบ ปกติเดินเล่นๆแถวนั้นไม่ได้สังเกตว่าร้านไหนมีขาย เลยต้องพาเดินซะเมื่อยเลย คิดดูเมื่อยจนไม่อยากเดินไปร้านอร่อยที่เราจะพาไปกินข้าวเย็น สุดท้ายต้องเดินกลับสถานีแล้วหาอะไรง่ายๆกินในร้านข้าวหน้าเนื้อแฟรนไชส์ หนึ่งในสามร้านดัง วันนี้ได้กินร้าน Matsuya สรุปมาญี่ปุ่นมาล่าร้านข้าวด้วย เสียดายขาดร้าน Sugiya เลยอดชิมครบสามร้านเลย
วันนี้เหนื่อยกันมากเช่นเดิม ออกแต่เช้าเพื่อให้ถึงฮิเมจิก่อนเวลาเปิด แวะเอาท์เลตโกเบ กลับมาล่าของฝากที่ดาวน์ทาวน์ซังโจ แถมของฝากยังได้ไม่ครบอีกขาดผงโรยข้าว กับป็อคกี้ กว่าจะถึงห้องก็ดึกมาก วันนี้พอก่อนค่อยลุยต่อพรุ่งนี้ นอนดีกว่า
ยัง ยังครับ วันนี้ยังไม่หมด (ความจริงเหตุการณ์เกิดตอนตีสองกว่าๆ เข้าวันใหม่แล้ว แต่มันต่อเนื่องจากเรื่องวันนี้ เลยเล่าในวันนี้เลยแล้วกัน) ลืมเล่าไปว่าพวกเรานอนห้องเดียวกัน เพราะถึงแม้เราจะอยู่ห้องครอบครัว มีห้องครัวห้องนั่งเล่นแยก แต่ก็มีห้องนอนห้องเดียวอะ แถมนอนด้วยกัน เปิดฮีทเตอร์อันเดียวประหยัดดี สาวๆก็นอนบนเตียงซึ่งเป็นเตียงดับเบิล ก็นอนพอนะ แม้นว่าจะมีเสาร์กับนุ้ยด้วยก็เฮอะ (ฮิๆ) เรากับวิทเอาฟุตองมาปูนอน ด้วยความเหนื่อยล้า ทุกคนหลับกันสบายเลยครับ แต่ แต่ พอล่วงเข้าวันใหม่ประมาณตีสอง ไอ้วิท ครับท่าน ไอ้วิท มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆค่อยๆร้อง เสียงค่อยๆได้ขึ้นเรื่อยๆ จากแรกๆแค่แทรกเข้าไปในฝันของเรา จนมันดังมากกกกกกกก เสียงประมาณร้องเสียงหลง ทันทีครับเราตื่นเห็นมันนอนอยู่ใกล้ๆก็นึกว่ามันเป็นไรวะ แถมตอนนั้นมันยังร้องเสียงหลงดังขึ้นอีก ท่าไม่ดีแล้วครับ หรือว่าไอ้วิทโดนของ อยู่ห่างมันก่อนดีกว่า เสียว ตัวเองโดนมั้ง แค่นั้นแหละ ด้วยความเร็วแค่สองก้าวไปยืนข้างๆเตียงสาวๆทันที ตอนนั้นสาวๆก็ตื่นแล้วเพราะเสียงไอ้วิทดังมาก พวกเราก็ตกใจ งง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้วิท ก็ค่อยๆเรียกมัน วิทก็บอกว่ามันเห็นผี เวร มึงฝันแล้ว ไม่ใช่ผีหรอก กูอยู่ห้องนั้นมาแปดเดือนไม่มีอะไร สรุปตอนหลังได้ว่ามันเป็นคนกลัวผีแถมวันนี้ไปฟังเรื่องผีจากบ่อน้ำที่ฮิเมจิมาอีก เลยเก็บมาฝัน เห็นเป็นแบบได้อารมณ์เหมือนในเรื่องเดอะริง คือ ค่อยๆเข้ามาหาไอ้วิทนะ เลยทำให้มันค่อยๆร้องดังขึ้นเรื่อยๆไง หลังจากเหตุการณ์วันนั้นครับ นอนโดยปิดผ้าม่านตลอด (เราชอบนอนเปิดผ้าม่าน เพราะมันเห็นวิวของเมืองอุจิยามค่ำคืน เสียงไฟระยิบระยับสวยดี) สาวๆก็ไม่กล้าทำอะไรดึกๆคนเดียวนอกห้องนอน ฮ่าๆ งานนี้เพราะไอ้วิทมันคนเดียวเลยนะเนี่ย ส่วนเราก็ไม่มีปัญหาเพราะหลังจากเพื่อนๆกลับไทย ไม่กี่วันก็ต้องย้ายหอพอดี ฮิๆ ไอ้วิท มึงนะมึง เลยได้มีเรื่องมาเผาเลย

No comments: