Monday, December 25, 2006

Trip Japan Nov. 2006 – Kansai Episode (5)


Day 9 Kyoto again! (Nov. 27)
วันนี้เป็นวันจันทร์ เป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดพิเศษอะไร ตามแผนเลยครับ วันดีอย่างนี้ คนเที่ยวเกียวโตไม่เยอะ เที่ยวเกียวโตดีกว่าโดยมีวัดทอง (Kinkakuji) เป็นเป้าหมายแรกของวันนี้ กะว่าจะไปถึงให้ได้ก่อนเวลาวัดเปิดตอนเก้าโมงเช้าตื่นเช้าอีกแล้วครับท่าน วัดทองเป็นวัดที่โชกุนในเรื่องอิคคิวซังอาศัยอยู่ ก่อนที่ตอนหลังจะแปรสภาพเป็นวัดอย่างในปัจจุบัน
เริ่มวันด้วยการนั่งเจอาร์ไปให้ใกล้วัดทองที่สุด เพราะเป็นวันทำงานเกียวโตก็รถติดเหมือนกัน จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถเมล์ ซึ่งวันนี้เจ้านี่แหละจะเป็นพาหนะหลักในการเดินทางในเมืองเกียวโต แม้ว่าจะไม่เร็วเท่ากับรถไฟ แต่มันผ่านจุดที่วันนี้เราจะไปเที่ยวกัน แถมมีตั๋ววัน ราคาห้าร้อยเยนด้วย ประหยัด คุ้ม
เรามาถึงวัดทองก่อนเวลาเปิดนานอยู่เหมือนกัน แต่แม้นเป็นเพียงแค่ทางเข้า ก็ยังสวยและเต็มไปด้วยโมมิจิ คณะจากไทยไม่พลาดครับ ถ่ายรูปกันนานอยู่ทีเดียวกว่าจะได้กินอาหาร (ขนมปังรอบเช้าอีกแล้วครับท่าน) ที่เตรียมมากินกัน นั่งกินกันหน้าทางเข้านั่นแหละ คนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆทั้งๆที่ยังเช้ามาก แต่พวกเราไม่สนครับ ได้ที่นั่ง จัดแจงอะไรๆเรียบร้อยก็โซ้ยกันตรงนั่นแหละ จนประตูเปิด พวกเราถึงจะได้ฤกษ์ลุยวัดทองกัน
จุดแรกที่เข้าไปเจอก่อนเลยคือ ปราสาททอง ซึ่งทำจากไม้ หุ้มโดยทองทั้งหลัง (ทองจริงๆ ไม่ได้โม้) ขนาดวันนั้นอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนทั้งวัน แดดไม่มี แต่กลับได้บรรยากาศเหมือนเดินไปในความฝันแทน วัดทองสองหลังที่สะท้อนอยู่บนน้ำนิ่งสงบอยู่เบื้องหน้า วันนี้ถ่ายรูปออกมาสวยยังไง ก็สู้ที่มองตาเปล่าวันนั้นไม่ได้เลย สวยจริงๆน้า หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปตามเส้นทางที่ทางวัดจัดให้อยู่แล้ว เส้นทางเดียวเดินทั่ววัด ผ่านสวนต่างๆของวัด (สวนญี่ปุ่นมีสี่ประเภท เช่น สวนหิน สวนสวรรค์ แต่จำไม่ได้หมดอะ ว่าที่เห็นแต่ละอันเป็นประเภทไหน แย่เลย) สวนในวัดทองถือเป็นไฮไลต์อย่างหนึ่งได้เลยนอกจากปราสาททองแล้ว ก็นี่แหละที่ต้องใช้เวลานานหน่อยเพื่อซึมซับบรรยากาศเหมือนฝันนี่ นอกจากโมมิจิที่เต็มต้นแล้ว ไอ้ที่ร่วงลงมาพวกเราก็ถ่ายเก็บไว้เหมือนกัน มันดูอาร์ตดีนะ พื้นที่เต็มไปด้วยสีแดงของโมมิจิ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินผ่านที่ขายเครื่องรางด้วย เสาร์เห็นปุ๊ปก็กระโดดเข้าใส่ทันที เพราะหาเครื่องรางน่ารักสารพัดแบบอยู่พอดี แถมที่วัดทองดันมีแบบน่ารักด้วย งงเลย (กำลังกังวลอยู่เลยว่าจะหาเครื่องรางน่ารักๆได้ที่ไหน เพราะเราไปเที่ยวมาก็หลายที่ยังไม่เคยเห็นเครื่องรางแบบที่เสาร์บอกเลย) จุดนี้คณะจากไทยหมดตังค์ไปหลายเลยครับ เพราะของของเขามีหลายแบบ ทั้งเรื่องความรัก การเรียน การเดินทาง ขอให้คลอดลูกง่ายยังมีเลย แต่ละคนได้ไปกันคนละหลายแบบ โดยเฉพาะวิท ไม่รู้ว่าเครื่องรางจะขลังจริงรึเปล่า ยังไม่ได้ถามเลยว่า ไอ้ที่ขอไปนะ มันสำริดผลหรือเปล่า (ฮิๆ)
ผ่านจุดนั้นไปได้ ก็นานโขอยู่เหมือนกัน เราไม่ได้สนอยู่แล้ว เลยได้นั่งพักนานเลย ค่อยยังชั่ว เดินต่อมาเรื่อยๆผ่านที่ทำบุญแบบอยากลำบาก คือ จะมีรูปปั้นพระพุทธรูปญี่ปุ่นแล้วก็มีเหมือนขันบิณฑบาติวางไว้ ให้คนทำทาน แต่ว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นละซิ เพราะต้องโยนเหรียญให้ลงขัน แล้วต้องไม่ให้กระเด็นออกมาด้วย พวกเราก็ทันทีครับลองกันทันที แต่ขอโทษมีเราคนเดียวได้ทำทาน ครั้งเดียวลงเลย ส่วนคนอื่นโยนไปไหนก็ไม่รู้ ฝีมือครับฝีมือ (ฮิๆ)
เดินจนไปใกล้ทางออก ก็เจอห้องชาในสมัยก่อน ที่ยังคงรูปแบบและอาคารไว้ตั้งแต่สมัยก่อน (ไม่รู้มีมาตั้งแต่สมัยไหน เพราะไม่มีป้ายบรรยายบอกไว้) ถือเป็นโชคดีอีกเหมือนกันเพราะก่อนหน้านี้ วิท อยากถ่ายรูปห้องชงชา ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าจะไปหาให้ไอ้วิทได้ที่ไหน ฟลุ๊คจริงๆมาเจอในวัดทอง รู้สึกมาวัดทองนี่เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย
ตรงทางออกมีศาลเจ้าชินโตให้ไหว้ด้วย ตกลงวัดนี้เป็นวัดพุทธผสมชินโตด้วยแฮะ หลังจากได้ฝึกกันมาหลายรอบ ที่วัดทองนี่แต่ละคนดูแล้วเชี่ยวชาญขึ้นมากเลยกับการขอพรแบบชินโตเนี่ย เรายืนดูห่างๆ นึกว่าคนญี่ปุ่น แต่ที่แตกต่างคงเป็นเรื่องระยะเวลาขอพรมั้ง เพราะแต่ละคนนี่กะขอบ้านพร้อมที่ดินกันเลย หยอดไปห้าเยนเองนะครับ ขอนานขนาดนั้นระวังเทพเจ้างงนะครับ เอ แล้วเทพเจ้าญี่ปุ่นจะฟังภาษาไทยกันออกหรือเปล่าหว่า อืมๆ
ตรงทางออกนี่ บรรยากาศเปลี่ยนไปเลยนะ เพราะว่ามีร้านค้าขายของฝากอยู่ บรรยากาศสบายๆเงียบๆเมื่อกี้ กลายเป็นคึกคักไปเลย แต่พวกเราไม่ได้ชอปกันหรอกนะ เพราะรีบจะไปที่หมายต่อไปคือ มหาวิทยาลัยเกียวโต หรือในชื่อเล่น เคียวได (เคียวมาจาก Kyoto ได มาจาก Daikaku ที่แปลว่ามหาวิทยาลัย) ซึ่งนอกจากพวกเราจะหาเข้าเที่ยงกินแล้ว ณี บอกอยากเห็นมหาลัยญี่ปุ่น แล้วก็นุ้ยจะไปหาป๊อกกี้ด้วย (ลืมบอกไปเนื่องจากความล้มเหลวในการล่าป็อกกี้ในหลายวันก่อนหน้านี้ ทำให้วันนี้ต้องล่าให้ได้ วันนี้เลยกลายเป็นวันล่าป๊อกกี้) แต่ด้วยความที่รถเมล์เกียวโตแม้นจะตรงเวลา แต่ก็ไม่ได้มีรอบเยอะเท่าไร และสายที่พวกเราจะนั่งไปเคียวไดดันออกไปซะก่อน พวกเราเลยต้องนั่งรออยู่นานเหมือนกัน (รถเมล์เกียวโต ขึ้นข้างหลัง ลงข้างหน้า โตเกียว ขึ้นข้างหน้า แต่จ่ายข้างหลัง แต่พวกเรายังไม่ได้ลองของที่โตเกียวนะ เพราะนั่งรถไฟสะดวกกว่า) แต่ในที่สุดพวกเราก็มาถึง รูเนะ (มาจากภาษาฝรั่งเศส Rainaise แต่คนญี่ปุ่นออกเสียงง่ายๆเป็นรูเนะ แรกๆก็นึกตั้งนานว่ามันจะแปลว่าอะไรวะ ที่แท้มาจากภาษาฝรั่งเศสนี่เอง) หนึ่งในหลายโรงอาหารของเคียวได ที่พามาที่นี่เพราะว่ามันอร่อย แล้วก็มีอาหารให้เลือกเยอะ (อีกประเด็นคือ สาวอักษรชอบมากินที่นี่) ตอนที่ไปถึงนี่ก็เที่ยงพอดี ซึ่งปกติแล้วคนจะเยอะมาก เราเลยเร่งเพื่อนๆ เพราะถ้าคนเยอะจะต่อคิวนานมากกว่าจะได้กิน แต่แปลกวันนั้นคนน้อยมากผิดปกติ นึกไปนึกมาถึงได้บางอ้อ วันนั้นเป็นวันเก็บกวาดหลังจากผ่านงานมหาลัยในวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งวันเก็บกวาดจะไม่มีการเรียนการสอน จะมีอยู่บ้างบางภาควิชา ไอ้เราก็อุตส่าห์รีบกะจะหลบคนเยอะๆตอนเที่ยง (ณี บอกอยากมางานมหาลัยแบบญี่ปุ่นด้วย แต่พอดีตารางมันแน่นแล้วครับ เราก็อยากมาเที่ยวนะ แต่คราวนี้เวลาไม่ได้จริงๆ ไว้เราจะเที่ยวงานปีหน้าเผื่อแล้วกัน)
หลังจากอิ่มกับอาหารอร่อยราคาประหยัด เพื่อนๆชมกันใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้นึกว่าจะเป็นอารมณ์แบบที่ไปเที่ยวเชียงใหม่ แล้วต้องไปกินข้าวใน มช. แต่ที่นี่มันถูกกว่าข้างนอกมาก แค่สี่ร้อยเยนได้กินข้าวเป็นชุดเลย ทั้งเมนดิช ซุปมิโสะ ของหวาน อิ่มท้องแล้วไปเดินเล่นในมหาลัยกัน ทั้งห้องสมุด และหอนาฬิกา ซึ่งต้น Camiphor หน้าหอนาฬิกากับหอนาฬิกานี่มีอยู่ตั้งแต่สมัยก่อตั้งมหาลัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเลยนะ ดูขลังดี ตอนที่เรามาถึงแรกๆก็ถ่ายเก็บก่อนไว้เลย วันนั้นคนบางตา แต่ก็ดีทำให้พวกเราได้ถ่ายรูปที่สำคัญๆต่างๆโดยไม่ต้องติดฝูงชน
เสร็จแล้วลงใต้ดินหอนาฬิกา เดินหาป๊อกกี้ในซุปเปอร์ของมหาลัย สมเป็นซุปเปอร์มีครบทุกรสที่นุ้ยต้องการเลย แต่ว่าราคาแพงไปหน่อย ประจวบเหมาะเจอรุ่นน้องคนไทยที่เคียวได ก็คุยกันนิดหน่อย พอน้องๆรู้ว่ากำลังล่าป๊อกกี้อยู่ ทำหน้าตกใจบอกพวกเราว่าที่นี่นะแพง ให้ไปซื้อที่ชิโจถูกกว่าตั้งเกือบยี่สิบเยนต่อกล่อง พวกเรากะซื้อกันหลายสิบกล่อง รวมกันก็เป็นเงินหลายเหมือนกัน แถมวางแผนไว้แล้วว่าเวลาไปวัดคิโยมิซึ จะต้องไปเปลี่ยนรถเมล์ที่นั่นด้วย พวกเราเลยตัดสินใจไปซื้อเอาที่ชิโจดีกว่า ประกอบกับตอนนั้นใกล้เวลาที่นัดเพื่อเข้าเซนโตแล้ว จึงรีบออกจากเคียวไดไป อิมพีเรียลพาเลซกันเลย
เดินออกมาทางหน้ามหาลัย เจอรถเมล์พอดี ถึงอิมพีเรียลพาเลซก่อนเวลานัดอยู่นานเหมือนกัน ตามสูตรครับ ทางเข้าสวยเช่นเดิม เดินไปเซนโตไป ถ่ายรูปไป ตรงนี้ต่างจากที่อื่นๆที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ สวนรอบๆพาเลซจะเป็นต้นใหญ่ๆทั้งนั้น ไปยืนใต้ต้นตัวเราเล็กกระจ้อยร่อยไปเลย สักพักเริ่มเอะใจ เอาแผนที่พาเลซมาดู เอ พวกเรายังแทบไม่ออกห่างจากประตูทางเข้าเท่าไรเลย แล้วเซนโตในแผนที่นี่ก็ห่างจากทางเข้าโขเหมือนกัน เวลาก็ใกล้ตอนนัดแล้วด้วย เฮ้ย สายแน่เลย เราเลยบอกเพื่อนๆว่าค่อยถ่ายรูปโซนนั้นตอนขาออกก็ได้ แล้วรีบเดินกึ่งวิ่งไปจนถึงเวลานัดพอดี สรุป ดูจากแผนที่นึกว่าไม่ไกล แต่เอาเข้าจริงแล้ว มันไกลลลลลลลล มากจากประตูที่พวกเราเข้าไป เฮ้อ ยังดีไม่สาย เพราะว่าที่นี่เป็นพระราชวัง กฎระเบียบเข้มงวดมาก ไปสายละก็อดหนึ่งในจุดที่สวยที่สุดในทริป (หรือในญี่ปุ่นเลย)
ถึงตรงนี้ก็ต้องแยกกันอีกแล้ว เพราะหนึ่งกลุ่มเข้าได้สี่คน แถมตอนที่จองดันเหลือที่แค่สี่คน เราเลยให้คณะจากไทยเข้าไปก่อนเพราะว่าเรามันคนพื้นที่ เดี๋ยวก็มีโอกาสมาเที่ยวอีก แถมตอนนั้นมีธุระต้องไปจ่ายค่าหอที่ชิโจอีก เลยนัดกันว่าอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันตรงประตูทางเข้านั่นแหละ
จากคำบอกเล่า และรูปที่คณะจากไทยถ่ายในเซนโต (เซนโตคือ บ้านพักของราชวงศ์ที่ถึงวัยปลดเกษียณแล้ว ไม่มีพระราชกรณียกิจอะไรเลย ส่วนพระราชวังก็เป็นที่อยู่ขององค์จักรพรรดิ) ทำให้เรารู้ว่าที่นี่สวยอย่างที่รุ่นพี่เคียวไดบอกจริงๆ คนทั่วไปเวลามา Imperial Palace ที่เกียวโตนี้ส่วนใหญ่จะไปที่พระราชวัง แต่มักจะมองข้ามเซนโตไป ทั้งๆที่อยู่ภายในเขตพระราชฐานเดียวกันแต่แบ่งเป็นคนละโซน ทั้งๆที่ข้างในเซนโตสวยกว่ามาก ดีจริงๆที่ถามท่านผู้รู้มาก่อน (รุ่นพี่คนนั้นมาทำโพสด็อก อยู่นี่มาเกือบสิบปีแล้ว คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยว่ามีเซนโต ขอบคุณคร้าบพี่ ที่เป็นถุงความรู้ให้น้องๆ) เลยได้ภาพสวยๆมาฝากเพียบเลย
ตอนที่คณะจากไทยเข้าไปในเซนโตแล้ว เราก็เดินออกไปหาป้ายรถเมล์เพื่อจะไปชิโจ ก็พบว่ามันอยู่ไกลมากกกกถึงมากที่สุด แถมป้ายนั่นมีรถเมล์รอบละชั่วโมง โอ้มายก็อด เสียเวลาตายเลยนะเนี่ย ตอนกลับจากชิโจเลยลองเข้ามาอีกประตูคนละฝั่งของอิมพีเรียลพาเลซกันเลย ปรากฏว่ารถเมล์เพียบ แถมใกล้เซนโตอีกต่างหาก คือ ตอนแรกเข้ามาทางอิมพีเรียลพาเลซ ทางประตูหน้าปกติกว่าจะเดินถึงเซนโตเล่นเอาขาลาก สรุป ดีนะเนี่ยที่มีธุระที่ชิโจ ทำให้ได้สำรวจเส้นทางก่อน ไม่งั้นออกทางเดิม กว่าจะถึงป้ายรถเมล์ เสาร์ได้เดี้ยงก่อนแน่ (วันนั้นอาการเจ็บขายังทรงๆ)
หลังจากออกมาประตูใกล้ๆเซนโตพวกเราก็ไปชิโจกันเพื่อต่อรถและล่าป๊อกกี้ด้วยในเวลาเดียวกัน แต่เนื่องจากราคามันถูกเลยมีคนมาซื้อก่อนหน้าเรา ทำให้พวกเราซื้อได้ไม่ครบตามจำนวน (ขนาดไม่ครบยังซื้อไปหลายสิบกล่องเหมือนกัน) เลยมีรายการล่าป๊อกกี้กันต่อ ไปกันหลายที่ทั้งห้างทะกะชิยาม่า ห้างใหญ่ดังย่านนั้น มีชั้นอาหารใหญ่ยักษ์ด้วย เข้าไปเดินเล่น ละลานตามาก แต่ตรงนี้ต้องมาใกล้ปิด ราคาจะน่ากินมาก แต่ไม่ได้ป๊อกกี้เพราะไม่มีห้างนี้ไม่มีซุปเปอร์ เลยต้องไปห้างข้างๆ พอไปถึงมีซุปเปอร์แต่ดันไม่มีรสที่พวกเราขาดอยู่อีก ตอนนั้นนึกขึ้นได้ว่าใน Shinkyogoku มีร้านของป๊อกกี้โดยเฉพาะ เลยพานุ้ยไปหาป๊อกกี้ร้านนั้น ปรากฏว่าเป็นร้านที่ขายของป๊อกกี้จริงๆ แต่มีแต่พวกรุ่นแปลกๆเช่น ไซด์ยักษ์พิเศษ แต่แบบธรรมดาที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดดันไม่มี สรุป เดินกันทั่วชิโจ แต่ยังหาป๊อกกี้ไม่ได้เลย (ตอนนั้นวิท นั่งเฝ้าของที่ทะกะชิยาม่า เพราะว่าของมันเยอะของที่ซื้อวันนั้นทั้งนั้นเลยนะเนี่ย และหนักเอาเรื่องเหมือนกัน ขืนเดินแบกของไป หาป๊อกกี้ไปละก็ได้ขาลากกว่านี้แน่) ก่อนไปวัดคิโยมิซึ (วัดน้ำใส) พวกเราก็ตกลงกันว่าจะเอาของเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ที่สถานีรถไฟแถวนั้น เพราะขืนแบกของไปวัดน้ำใสเจอกับฝูงชนละก็ เฮ้อ ไม่อยากคิด (ไม่สามารถหลบฝูงชนในที่ท่องเที่ยวในเกียวโตได้อีกแล้ว เพราะว่าวัดน้ำใสมีไลท์อัพตอนกลางคืน และถือเป็นไฮไลท์ของวันได้เลย คนเลยเยอะเป็นพิเศษ)
ตอนนั่งรถเมล์ไปวัดน้ำใส ได้บรรยากาศผู้คนตั้งแต่บนรถเมล์แล้ว คนเพียบ แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ ผ่านลอว์สัน (ร้านสะดวกซื้อแฟรนไชส์แบรนด์หนึ่ง) ปั๊ปนุ้ยชี้ทันทีแล้วบอกว่า ขากลับต้องมาเปลี่ยนรถตรงนี้หรือเปล่า นุ้ยจะมาหาป็อกกี้ ตอนนั้นคิด โอ้พระเจ้า เสร็จทริปนี้คำว่าป๊อกกี้ติดอยู่ในสมองแน่เลย (ฮิๆ)
ถึงปากทางวัดน้ำใส พวกเราต้องปีนเนินขึ้นไปอีก เพราะว่ารถเมล์ไปไม่ถึงหน้าวัดอ่ะ ทำไงได้ รู้สึกตอนนั้นสงสารเพื่อนๆมากเลย เพราะว่าที่เที่ยวในญี่ปุ่นเป็นแบบนี้แหละ ต้องเดินเพื่อซึมซาบบรรยากาศรอบๆด้วย หลังจากปีนเนินสะท้านใจมาถึงบริเวณหน้าวัดได้ ก็พบกับบรรยากาศคึกคักท่ามกลางความมืด ตรงทางเข้ามีร้านค้าเพียบทั้งๆที่ดึกแล้ว แต่คนยังเยอะอยู่เลย แล้วก็ต้องต่อแถวเพื่อเข้าวัด ทั้งๆดูน่าจะวุ่นวายแต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดี นอกจากตำรวจแล้วคนที่มาดูแลความเรียบร้อยส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร สังเกตดูรู้สึกว่าเป็นลูกหลานคนแถวนั้น ดูแล้วให้ความรู้สึกดีว่าที่ทำหากินของเขา เขาก็ต้องช่วยกันดูแลแม้แต่คนรุ่นหนุ่มสาวก็ยังมาช่วยกันมากมาย มองเห็นอนาคตได้เลยว่าบริเวณวัดน้ำใสนี้ยังเป็นจุดท่องเที่ยวชื่อดังไปอีกนาน ก็คนรุ่นต่อไปของเขาช่วยกันซะขนาดนี้นี่
ก้าวแรกที่เข้าถึงวัดเป็นซุ้มประตูใหญ่ที่ปกติดูน่าเกรงขามอยู่แล้ว ตกกลางคืนมีไลท์อัพ (การไลท์อัพ คือการตกแต่งที่เที่ยว เช่น วัด ศาลเจ้า ด้วยแสงไฟทำให้กลางคืนก็สามารถเที่ยวได้ เป็นกลยุทธ์สร้างขอบเขตการท่องเที่ยวให้มีเวลาเที่ยวได้มากขึ้น และได้เห็นสถานที่นั้นๆในรูปแบบแปลกตา บางทีกลายเป็นจุดสำคัญของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นไปเลยก็มี) แสงไฟช่วยให้ดูดีขึ้นไปอีก อ้อ ที่นี่มีแสงดาบเลเซอร์แบบในสตาร์วอร์ด้วยนะ คือเขาจะใช้สปอตไลท์อันใหญ่มาก ส่องไฟขึ้นไปบนฟ้า เป็นแบล็คกราวน์ของวัด บางทีก็นึกว่ามันดูขัดกัน บางทีก็ดูฮาดีที่เป็นเหมือนดาบเลเซอร์อันใหญ่
แน่นอนในบริเวณวัดที่มีโมมิจิสวยๆ ย่อมมีการไลท์อัพเป็นธรรมดา ใบไม้เลยยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ ในรูปพยายามให้ติดคน แต่พอถ่ายคนมืดๆมีแบล็คกราวน์เป็นโมมิจิแดงๆนี่ ดูไปก็สวยดี ดูอีกทีก็ บรื้อๆๆๆ พวกเราเดินไปเรื่อยๆครับ เจอเทพเจ้าแห่งความสุขด้วย แน่นอนครับไม่พลาดขอพรอยู่แล้ว เทพเจ้าแห่งความสุข จะหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา มือซ้ายถือถุงความสุข มือขวาถืออะไรไม่รู้คล้ายกับค้อน ก็ไม่รู้ว่าท่านเทพเจ้าแห่งความสุขจะฟังคำขอพรของคณะจากไทยออกหรือเปล่า ส่วนเราเอาไว้เก่งภาษาญี่ปุ่นก่อนแล้วเข้ามาขอพรดีกว่า ฮิๆ คนพื้นที่นี่สบายไปหลายอย่างแฮะ
หลังจากนั้นพวกเราก็ยืนมองส่วนที่เป็นอาราม สร้างยกพื้นสูงมากหลายสิบเมตร โดยใช้การเข้าสลักของไม้ โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียวเลย แถมยังอยู่ยั่งยืนยงมาตั้งแต่สมัยเกียวโตยังเป็นเมืองหลวงอยู่ ไอ้อารามเนี่ยแหละทำให้ตอนนี้วัดน้ำใสเป็นหนึ่งในแคนดิเดทของเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ ว่างๆก็เข้าไปโหวตได้นะครับในเว็บ เพื่อเมืองผมจะมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ตรงจุดนี้จะมีระเบียงสูง ซึ่งถ้าเป็นหน้าซากุระจะไม่สามารถเบียดไปข้างหน้าได้เลย แต่หน้าโมมิจิคนยังมากไม่เท่าไรเราเลยมีโอกาสดูความสูงของอารามได้ ระเบียงนี้มีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ด้วย คือ มีแม่ทัพท่านหนึ่งหักหลังนายตนเอง แล้วถูกลูกน้องนายคนนั้นตามล่ามาจนมุมที่นี่ เลยตัดสินใจปลิดชีพตนเองโดยการกระโดดจากระเบียง ฆ่าตัวตาย แต่หลังๆมานี่กลายเป็นหนี่งจุดที่มีชื่อเสียงในด้านการฆ่าตัวตายไปซะ เพราะคนญี่ปุ่นเวลาฆ่าตัวตายอยากให้ดังต้องมาโดดที่นี่ ไม่รู้ช่วยเสริมความดังหรือว่าสร้างชื่อเสียให้ที่นี่ก็ไม่รู้
เสร็จจากบริเวณอารามด้านบนพวกเราก็ลงมายังจุดฮอตฮิตของวัดน้ำใสอีกจุดหนึ่งคือ น้ำพุศักดิ์สิทธิ์สามสาย ที่ว่ากันว่าเมื่อดื่มแล้วจะโชคดี แต่ละสายก็ดีไปคนละอย่างคือ ความรัก การเรียน การงาน (ข้อมูลจากวิท) เป็นที่ๆต้องการดื่มของวิทมาก คงหวังอะไรไว้ละซิ เล่นกินเข้าไปซะขนาดนั้น คนญี่ปุ่นเขาแค่จิบๆ นี่วิทแกเล่นกระดกเข้าไปเพียบ นานด้วย เพื่อนๆเลยกะเอามันโยนลงบ่อน้ำข้างล่างซะเลย อาบด้วยกินด้วยจะได้ขลังไงวิท (ฮ่าๆ) ส่วนเราเหมือนเดิมไม่นิยมต่อแถวยาวๆถ้าไม่จำเป็น มาวัดน้ำใสกี่ครั้งกี่ครั้งก็นั่งรอ ฮิๆสบายดีไม่เมื่อย
ก่อนจะถึงทางออกพวกเราก็ผ่านอีกหนึ่งจุดสำคัญ สระน้ำที่มีต้นเมเปิลต้นใหญ่ ใบเป็นสีแดงทั้งต้น น้ำในสระก็ใส (ก็วัดนี้ชื่อวัดน้ำใสนี่ครับ ถือกันว่าน้ำในวัดนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากทางน้ำใต้ดินบนเขา จึงใส บริสุทธิ์ เป็นที่มาของความศักดิ์สิทธิ์) ทำให้ผิวน้ำสะท้อนต้นเมเปิลกลายเป็นต้นเมเปิลสองต้น แดงสดทั้งของจริงและที่สะท้อนบนสระน้ำ (หน้าซากุระตรงนั้นก็มีต้นซากุระต้นใหญ่อยู่ด้วย ดังนั้นฤดูใบไม้ผลิคนมาชมซากุระบนผิวน้ำกันเพียบกว่านี้อีก) คนหยุดถ่ายรูปกันเพียบครับ แต่พวกเราแบตหมดกันเพียบ สุดท้ายเลยใช้กล้องในมือถือนุ้ยถ่ายเอาไว้ ไม่เป็นไร เราเก็บความงามไว้ในใจก็ได้ ว่าปีหน้าจะมาเยี่ยมอีก (คาดว่าได้มาทุกปีแน่ เพราะมันสวย)
เสร็จจากวัดคิโยมิซึพวกเราก็หิวได้ที่กันมากแล้วเพราะตอนนั้นก็สามสี่ทุ่มแล้ว แต่ยังไม่ได้กินไรเลย ตามที่ตกลงกันไว้คือ กลับไปกินโอมเล็ตหรือข้าวหน้าห่อไข่ตรงชิโจ ขากลับพวกเราก็ผ่านลอว์สันที่นุ้ยหมายตาไว้ตอนขาไปวัดน้ำใส พวกเราก็เปลี่ยนรถเมล์ที่นั้นอยู่แล้ว เป็นอันว่าวันนี้ทริปตามล่าป๊อกกี้จึงบรรลุเป้าหมายก็ที่นี่แหละ
แต่ว่าพอถึงร้านข้าวหน้าห่อไข่ที่เราหมายตาไว้ดันลาสออร์เดอร์ไปแล้ว สรุปอดรับประทาน ตอนนั้นเราคิดได้ว่ามีร้านน่ากินอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านโอโคโนมิยะกิที่วิทอยากกินพอดี ไปด้อมๆมองๆหน้าร้าน ก็เห็นว่าปิดดึกเหมือนกัน เฮ้อ ค่อยยังชั่วได้กินข้าวเย็นซะที เข้าไปปรากฏว่าเป็นร้านดังเหมือนกัน (ทริปนี้ได้กินร้านดังเยอะเหมือนกันแฮะ เราก็มั่วๆพาไปนะเนี่ย) มีมานานหลายสิบปีแล้ว บรรยากาศเก๋าๆเท่ๆน่านั่ง อืม ไว้วันหลังมากินอีกดีกว่า ฮิๆได้ร้านกินเพิ่มเลยเรา
แน่นอนครับเข้าร้านโอโคโนมิยะกิก็ต้องสั่งโอโค แต่ว่าร้านนี้มีข้าวหน้าห่อไข่ด้วย ณี อยากกินพอดี สรุปมาร้านนี้เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย
กินเสร็จกว่าจะไปเอาของนั่งรถเมล์ไปสถานีเกียวโต ต่อเจอาร์กลับบ้านที่โอบาคุ ตกลงวันสุดท้าย ที่ว่างโปรแกรมไว้หลวมๆกะกลับบ้านเร็วๆจะได้มีเวลาเก็บของ นอนเยอะๆ กลายเป็นว่ากลับดึกสุด นอนดึกสุด เฮ้อ แล้วพรุ่งนี้จะไปทันเครื่องไหมเนี่ย โปรดติดตามตอนต่อไป

No comments: