Thursday, December 14, 2006

Trip Japan Nov. 19-28, 2006 – Tokyo Episode(3)


Day 3 Nov. 21 Tateyama Kurobe Alpine Route (Toyama-Nagono-Tokyo)
ต่อจากวันที่สองนะคร้าบ แต่พอดีมันข้ามวันมาแล้วก็เลยขึ้นเดย์ทรีก่อน แล้วค่อยเขียนต่อ บนรถก็มีเรื่องฮาอีกจนได้ เพราะความไม่จัดเจนในภาษาญี่ปุ่นของเรา หัวหน้าประจำขบวนรถอุตส่าห์เดินมาบอกให้เราหมุนเบาะมาแล้วจะได้นอนสบาย (นึกสภาพรถทัวร์บ้านเรา ถ้าข้างหน้าสามารถหมุนเบาะมาได้ ก็จะได้ตั้งขานอนสบายขึ้น กลายเป็นหนึ่งคนใช้ที่นั่งไปสองตัว) แต่พวกเราก็งงกันจนเขาต้องหมุนเบาะให้ ตอนหมุนก็งงอีกเพราะมองไม่ทัน แต่เห็นเขาเอาขาแตะๆแถวฮีทเตอร์ ก็นึกว่าต้องมีกลไกแถวนั้น ลองทำเองอยู่ตั้งนานก็ทำไม่ได้ หาแถวๆฮีทเตอร์ก็ไม่เจออะไรเลย จนสุดท้ายก็ถามนายรถอีกคน เขาก็ทำหน้างงๆ ประมาณว่าพวกเอ็งเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้เหรอไง เขาก็แค่เอามือผลักเบาะหมุนเอาก็ได้แล้ว ไม่ได้มีกลไกอะไรซับซ้อนเลย แต่ต้องออกแรงมากหน่อยกว่ามันจะหลุดจากฐานแล้วถึงจะหมุนได้ ตกลงหัวหน้าประจำรถเขาแค่เช็คความร้อนที่ออกมาจากฮีทเตอร์แค่นั้นแหละ สุดท้ายก็ได้นอนสบายขึ้น แต่ร้อนมากเพราะในรถเปิดฮีทเตอร์แรง (นึกสถาพบ้านเรา เปิดแอร์แรงๆในสำนักงาน ประมาณนั้นแหละครับ แต่นี้เป็นฮีทเตอร์) เล่นเอาต้องถอดเสื้อผ้าที่เตรียมลุยเส้นทางหิมะเหลือแค่เสื้อยืดตัว แล้วก็นอนหลับๆตื่นๆไปตลอดทาง แถมก่อนถึงสถานีโทยะมะ ซึ่งไม่ใช่สถานีปลายทาง ถ้าเลยก็ต้องเสียเวลานั่งย้อนกลับมาอีก เลยต้องมาลุ้นว่าถึงหรือยัง เพราะว่าเช้าๆเขาไม่ประกาศสถานี เพราะเมื่อคืนเขาประกาศรวดเดียวว่าจะถึงไหนเวลาเท่าไรตอนเช้าจะได้ไม่ต้องประกาศอีก กลัวรบกวนเวลานอนผู้โดยสารว่างั้นเถอะ แล้วถึงจะหรี่ไฟให้นอน แต่สรุปยังไม่เลยคร้าบ แถมรถเลตอีก แต่เพราะสาเหตุอะไรไม่ทราบเหมือนกัน เพราะภาษาญี่ปุ่นยังอ่อนด้อยฟังออกแค่ว่าเขาบอกว่ามันเลต ทำให้บางคนที่จะไปต่อรถอีก จะไปไม่ทัน แต่เลตแค่ยี่สิบกว่านาที เขาขอโทษแล้วขอโทษอีก เป็นพี่ไทยเหรอ เลตเท่าไรก็ไม่บอก ให้ลุ้นเอาเอง แถมไม่มีการขอโทษครับ คุณผิดเองที่เลือกใช้การรถไฟไทยที่ไม่รับประกันเรื่องเวลา แต่อย่างไรก็ตามการเลตของเจอาร์ไม่สร้างปัญหาให้กับเราคร้าบ เพราะรถบัสรอบแรกจากสถานีทะเทะยะม่ามันออกแปดโมงครึ่ง ตอนนั้นเวลายังเหลือเฟือ ว่างพอซื้อน้ำจากตู้กด (เมื่อคืน รีบมากจนไม่ได้กดน้ำ อดน้ำมาทั้งคืน) แถมมีเวลาหาของกินที่สถานี แต่เจอแค่ เอคิเบนโตะ (ทุกคนคงรู้จักเบนโตะ ก็คือข้าวกล่องญี่ปุ่นนั่นเอง ส่วนเอคิก็คือสถานีรถไฟ ดังนั้นมันจึงรวมกันเป็นข้าวกล่องขายที่สถานี ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้ของขึ้นชื่อของท้องถิ่น เลยเป็นเหมือนของขึ้นชื่อของท้องที่นั้นๆไปเลย) ราคาของเอคิเบนโตะก็อยู่หลักเจ็ดร้อยเยน แต่กล่องเล็กไปหน่อย เลยไม่ซื้อ กะว่าไปแถวทะเทะยะม่ามันประมาณแปดโมงแล้วน่าจะมีอะไรกินมากกว่า ก็เลยไปต่อรถไฟเอกชน สายโทยะมะ-ทะเทะยะม่า (ทะเทะเป็นแค่เมืองในจังหวัดโทยะม่า)
ระหว่างนั่งไปนี่ได้อารมณ์ยามเช้าในชนบทมากเลย ระหว่างทางก็มีเด็กนักเรียนมัธยมขึ้นมาบ้างประปราย เพราะความเป็นชนบทคนก็เลยไม่เยอะมาก แต่ แต่ คณะจากไทยไม่ไหวแล้วครับ เครียดก็เครียด เหนื่อยก็เหนื่อยมาจากเมื่อคืน หลับมากกว่าตื่น ประมาณว่าที่นั่งรถไฟ รถบัส เป็นเหมือนแท่นชาร์ตแบตมือถือ นั่งปุปชาร์ตปั๊ปครับ หลับกันประจำ ทั้งที่ทริปญี่ปุ่นคราวนี้บรรยากาศการเดินทางก็ถือเป็นการท่องเที่ยวเหมือนกันน้า ส่วนเรายังพอเหลือแรง หรือตาค้างจากเมื่อคืนก็ไม่รู้ นั่งเอาบรรยากาศยามเช้าไปเรื่อยๆ แล้วก็เอาอีกแล้วครับท่าน แม้ว่าเมื่อคืนฝนจะตก (ดูจากพื้น พื้นมันเปียกๆ) แต่แสงแดดยามเช้าก็เริ่มมีให้เห็นตามพยากรณ์อากาศเปะ วันนี้เป็นวันแรกที่คณะจากไทยเจออากาศดีคร้าบ
และแล้วก็มาถึงทะเทะยาม่า จุดเริ่มต้นการเดินทางเส้นทางสายหิมะ ที่พวกเราได้เจอหิมะกันครั้งแรก เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ไม่เปิดให้รถทั่วไปผ่านนะครับ เพราะเขาสร้างขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ (ไม่รู้ว่าจุดประสงค์อื่นอีกหรือเปล่า) เก็บตังค์ตลอดทั้งรูตก็ประมาณหมื่นเยน พอซื้อตั๋วเสร็จก็หาของกินกัน แต่ว่าเจอแต่ร้านสะดวกซื้อ มื้อเช้าวันนั้นเลยกลายเป็นขนมปังจิ้มนมข้นหวานไป รู้งี้ซื้อเอคิเบนโตะจากสถานีโทะยะม่า มากินคนละกล่องอิ่มสบายท้องไปแล้ว ต้องลุยเส้นทางหิมะด้วยหนมปังไปซะนี่ ระหว่างรอขั้นรถบัสไปมุโรโดะ ก็สังเกตผู้ร่วมทาง เจอแต่คนที่กะมาเล่นสกี หรือสโนว์บอร์ดทั้งนั้น แต่งมากันเต็มยศ ชุดก็เป็นแสนเยน อุปกรณ์ประมาณแสนเยน มีแต่ห้าคนจากไทยเนี่ยแหละ ไม่รู้หลงไปร่วมเส้นทางกับเขาได้ไหง รองเท้าก็เป็นรองเท้าวิ่งธรรมดา ชุดก็ไม่ได้ป้องกันความหนาวอะไรมากเลย กลายเป็นตัวประหลาดไป ตอนนั้นก็เริ่มหวั่นๆ คิดว่าข้างบนถ้าไม่ใช่เป็นรองเท้าสกีแล้วจะเดินไม่ได้ คงเซ็งเพราะว่าอุตส่าห์มาถึงแล้วแต่ไม่ได้เล่นหิมะนี่ถึงกับเซ็งเด่วเลยนะ แถมคุณป้าขายตั๋วรถบัสบอกว่าตอนนั้นข้างบนอุณหภูมิติดลบสามองศา แกคงห่วงพวกเราว่าเสื้อผ้าแค่นี้จะพอเหรอ (ตอนนั้นเราใส่ไปประมาณเสื้อยืดสองตัว สเวตเตอร์ตัว เสื้อหนาวธรรมดาตัว คิดว่าน่าจะเอาอยู่ แต่ก็ภาวนาให้ข้างบนอย่ามีลม เพราะไม่ถูกโรคกับลมแรง) แต่ก็ขึ้นรถบัสไปทั้งๆความกังวลอย่างนั้นแหละ ลุยเป็นลุย ไม่มีคำว่าถอย มาถึงแถวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคร้าบ
ระหว่างทางก็เริ่มผ่านโซนที่ขึ้นชื่อเรื่องใบไม้แดง ซึ่งจะแดงบ้าง เหลืองบ้างทั้งเขา แต่ช่วงที่ไปร่วงหมดแล้ว ถ้าจะไปดูใบไม้แดงย่านนั้นต้องไปเดือนสิบ เดือนนี้ก็ลุยหิมะแล้วละครับ ก็เลยผ่านไม่แวะจุดนั้นกัน รถบัสก็ไต่ระดับไปเรื่อยๆจนเริ่มเห็นยอดภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ในใจก็คิด รอพ่อก่อนนะลูกเดียวพ่อก็ไปถึงแล้ว จะไปเล่นหิมะให้หนำใจ แต่ขึ้นต่อไปอีกหน่อย ก็ไม่ต้องแหงนคอมองยอดแล้วครับ ข้างทาง คร้าบข้างทางหิมะเป็นๆ ของแท้ไม่ใช่เทียมแบบที่ไทย (ของที่ไทยก็ไม่เคยไปเล่นหรอกนะ) แรกๆก็แค่ริมถนน ขึ้นไปอีกก็เริ่มเต็มป่าสองข้างทาง แล้วภูเขารอบๆกลายเป็นสีขาวหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เพลินไปกับวิวข้างทางไปเรื่อยๆก็ถึง มุโรโดะ (ไฮไลต์ของวันนี้ เป็นที่ราบเล็กๆบนเขาเทือกเขาแอลฟ์ญี่ปุ่น ที่ระดับความสูงสองพันสี่ร้อยห้าสิบเมตร ซึ่งยอดเขาที่สูงที่สุดต่อจากมุโรโดะนั้นสูงสามพันสิบห้าเมตร ถือเป็นสามภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น เคียงคู่กับภูเขาไฟฟูจิ กับอีกลูกที่คิวชู) พวกเราก็เข้าไปหลบหนาวในตึกก่อน เพื่อเตรียมการให้พร้อมกับการเผชิญความหนาวและหิมะ พอออกมาจากตึก แค่นั้นแหละคร้าบ โลกก็กลายเป็นสีขาวไปหมด ตัดกับท้องฟ้าสีคราม โฮ รู้สึกคุ้มค่ากับการเดินทางไกลของพวกเรามาก ไอ้ความกลัวว่าจะเดินเล่นบนพื้นหิมะก็หายไปหมด เพราะหิมะอัดกันแน่นเป็นเมตร บนผิวก็มีหิมะใหม่ที่ตกมาเมื่อคืนหนาไม่กี่เซ็น อย่างนี้เดินสบาย ก็เดินเล่นหาวิวถ่ายสวยๆกันละครับ พวกเราก็เลือกเส้นทางสั้นที่สุด (ที่ราบมุโรโดะ มีเส้นทางเดินชมความงามหลายคอร์สให้เลือก แต่พวกเราคงเดินไปได้ไม่ไกล เพราะต้องกลับโตเกียวให้ทันคืนนี้ ไม่งั้นต้องหาโรงแรมนอน แล้วก็คณะจากไทยคงไม่รอดเดินไปไกลๆหรอก ฮะๆ) บางจังหวะก็เดินตกหลุมหิมะ เพราะว่าบางบริเวณหิมะยังไม่อัดกันแน่น ใครโชคไม่ดีก็ซวยไป แต่เอะ หรือเพราะเป็นน้ำหนักมากกว่าโชค เลยทำให้นุ้ยตกหลุมหิมะบ่อยมาก (ฮา) บางจังหวะเพื่อให้ได้ภาพที่สวยพวกเราก็เดินเฉียดหน้าผากันมาก ข้างล่างก็เป็นทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว ก็ได้แต่บอกคณะจากไทยว่าถ้าพลาดก็ขอให้ร่วงไปทางเขาแทนทางทะเลสาบนะ เพราะว่าถ้าร่วงไปทางนั้นกระผมไม่ลงไปช่วยแน่ เพราะตัวเองก็คงเอาไม่รอด งานนี้ต้องพึ่งหน่วยกู้ภัยแน่นอน แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เลยได้ภาพสวยๆมาฝากเพียบ แต่ทำไมรูปที่ถ่ายออกมาถึงดูไม่ค่อยเห็นความชันของหน้าผา ความหวาดเสียวเท่าไรเลย สาวๆอุตส่าห์เสี่ยงตายลงไปถ่ายเพื่อภาพสวยๆนะเนี่ย สุดท้ายไปจบที่ทางไปออนเซ็น คงรู้จักกันนะครับออนเซ็น หรือบ่อน้ำแร่ธรรมชาตินั่นเอง กระผมก็อยากจะลองไปแช่ซะหน่อย เพราะได้กลิ่นกำมะถันลอยมาแต่ไกล กะว่าที่นี่ต้องมีแร่ธาตุเยอะแน่เลย แล้วก็บนภูเขาหิมะอย่างนี้ อาจมีโอกาสเจอลิงบ่อน้ำร้อนด้วยก็ได้ ไม่เฉพาะคนเท่านั้นที่หนีหนาวมาแช่บ่อน้ำร้อน สัตว์ตามธรรมชาติก็ชอบแช่น้ำแร่เหมือนกัน ก็กะจะลงไปแช่กับบรรดาสัตว์ซะหน่อย แต่เส้นทางที่ไปบ่อน้ำร้อนค่อนข้างชัน พวกเราก็ใส่มาแต่รองเท้าธรรมดา ทั้งๆที่เห็นออนเซ็นอยู่ข้างหน้าแล้ว ก็ต้องกลับกันดีกว่า สำหรับคนอื่นที่ไม่ไป คงเพราะว่าอายไม่กล้าแช่บ่อน้ำร้อนญี่ปุ่นใช่ไหมละ เขาถอดกันหมดเลยตอนแช่ แต่เราอยู่นี่ลองมาหลายครั้งแล้วเลยไม่อาย ฮิๆ
หลังจากเล่นหิมะจนหนำใจแล้ว พวกเราก็หิวกันมาก เพราะตอนเช้ากินมากันน้อย เล่นเยอะอีกต่างหาก แถวนั้นก็ไม่ค่อยมีร้านอาหารด้วย จะไปหวังเอาน้ำบ่อหน้าก็ไม่ได้ (หวังมาหลายรอบแล้ว รู้สึกน้ำบ่อหน้าจะหายากมาก) ก็เลยกินกันในโรงแรมตรงมุโรโดะนั่นแหละ ตอนแรกก็นึกว่าจะชาร์จมาก แต่ราคาก็ไม่ได้สูงกว่าพื้นราบเท่าไรชุดละประมาณพันห้าร้อยเยน ถ้าเป็นเมืองไทยคงโดนชาร์จเยอะแล้ว แถมไม่อร่อย มื้อเที่ยงก็เลยได้กินอาหารชุดทงคัตซึกับชุดไก่คะระเกะ หรือไก่ทอดบ้านเรานั่นเอง รสชาติถือว่าดีถึงดีมากเลยแหละ ไม่รู้ว่าเพราะหิวมากหรือเปล่า แต่ของเขาอร่อยจริง ก็เป็นระดับโรงแรมนิ
ก่อนออกจากสถานีมุโรโดะ เราก็สังเกตเห็นป้ายบอกสภาพอากาศ ก็ลองอ่านดู ป้ายก็บอกว่าวันนี้เก้าโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเราไปถึง อากาศดีทัศนวิสัยดีเยี่ยมเห็นไปไกลสามสิบกิโล ลมพัดศูนย์กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็คือไม่มีลมนั่นแหละ และอุณหภูมิศูนย์องศา เห็นปั๊ปอึ้งเลยครับ เรียกให้วิทถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานเลยว่าพวกเราสัมผัสศูนย์องศามาแล้ว แถมวิ่งเล่นกลางแจ้งด้วย ไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนั่น เพราะไม่มีลม ประกอบกับแดดแรงด้วยมั้ง เลยทำให้ไม่รู้สึกหนาวเท่าไร
เสร็จจากที่ราบมุโรโดะ ก็ต้องไปต่อรถบัสลอดอุโมงค์ไปโผล่อีกฝั่งของภูเขาลูกเดิม เพื่อไปต่อโรปเวย์จากระดับสองพันสามร้อยสิบหกเมตร ลงมายังที่ราบคุโรเบะ (คุโร แปลว่าดำ เบะมาจากตัวอักษรที่แปลว่า ส่วน แผนก แต่รวมกันแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร) ตอนอยู่บนโรปเวย์ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ถึงแม้ว่าขนาดโรปเวย์ค่อนข้างใหญ่ แต่บรรยากาศสโลป ความสูงของพื้นข้างล่าง ความอลังการของเขารอบๆก็ทำให้พวกเราอึ้งไปได้ และแน่นอนได้ถ่ายรูปมาฝากอีกเพียบเหมือนกัน แต่คงไม่สามารถเก็บความสวย ณ ตรงนั้นมาฝากได้ เพราะฝีมือถ่ายรูปยังไม่เข้าขั้น ฟังเรื่องเราจากพวกเราแทนก็แล้วกันนะ พอมาถึงที่ราบก็ใช้เวลาถ่ายรูปแปปๆเพราะยังมีไฮไลต์ของรูตอีกทีก็คือ เขื่อนคุโรเบะ ที่หมายต่อไปของพวกเรานั่นเอง คือ ประมาณว่านอกจากมุโรโดะกับเขื่อนคุโรเบะแล้ว ที่เหลือเป็นฉิ่งฉับทัวร์หมด เมื่อมาถึงเขื่อน พวกเราก็ใช้เวลาไปกับการซึมซับบรรยากาศผืนน้ำสีเขียว กว้างสุดสายตา เขาสูงรอบตัว หิมะปกคลุมประปราย เพราะตอนนี้ลงมาที่ระดับพันสี่ร้อยเมตรแล้ว หิมะไม่มากเหมือนข้างบน แต่ก็ตัดกันดีกับภูเขาสีน้ำตาลออกดำ ได้เวลาอันควรก็ต้องเดินจากเขื่อนเข้าไปในอุโมงค์เพื่อไปต่อรถบัสไฟฟ้า (เพราะมีรางไฟฟ้าอยู่ข้างบนให้พลังงานไฟฟ้าตลอดทาง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเรียกว่าอะไร) ตรงปากอุโมงค์ฝั่งเขื่อนก็เห็นเทอร์โมมิเตอร์อันใหญ่ ลักษณะเป็นเหมือนตาชั่งหน้าปัดกลม วิทก็ถ่ายเก็บมาเป็นหลักฐานเหมือนกัน ตอนนั้นห้าองศาครับ แต่รู้สึกว่าหนาวกว่าศูนย์องศาของมุโรโดะอีก แต่เพราะตรงเขื่อนมีลม แถมแดดก็ไม่ค่อยแรงด้วยมั้ง ทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมา
เสร็จจากต่อรถบัสไฟฟ้า ก็มาสุดเส้นทางที่ห้ามรถทั่วไปเข้า ก็มาซื้อตั๋วรถบัสเพื่อนั่งไปสถานีเจอาร์ที่ใกล้ที่สุด เพราะเวลานั่นเป็นช่วงใกล้ปิดเส้นทางนี้แล้วมั้ง ประกอบกับเพื่อนร่วมคณะเมื่อเช้าอาจจะพักกันแถวนั่น ไม่ต้องรีบกลับโตเกียวเหมือนพวกเรา ก็เลยทำให้ทั้งรถบัสขนาดสี่สิบคน มีแต่พวกเราแค่ห้าคน นั่งกันสบายเลยครับ ระหว่างทางนี่ได้บรรยากาศมากเลยนะ เวลาเย็นๆในดินแดนชนบทของญี่ปุ่น ใบไม้แดง เหลืองที่ยังพอหลงเหลืออยู่มั้ง สวยมาตลอดทาง ส่วนคนอื่นนี้จำไม่ได้ว่าได้ชื่นชมธรรมชาติอย่างเราบ้างหรือเปล่า หรือว่าชาร์จแบตกันอยู่ อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ว่าที่นั่งเป็นที่ชาร์จแบต ก้นติดเบาะปุปหลับปั๊ป (ฮา)
นอกจากต้นทางคนจะน้อยแล้ว ตลอดทางแวะสถานีอื่นๆ ก็ไม่มีคนขึ้น ทำให้พวกเรามาถึงสถานีเจอาร์ชินะโนะโอมาจิเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ ที่นั้นเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในจังหวัดนะกะโนะ (เส้นทางหิมะที่พวกเราเพิ่งผ่านพ้นมาสร้างเพื่อการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดโทยะมะกับนะกะโนะนั่นเอง เพราะถ้าไปเส้นทางอื่นมันจะอ้อมเสียเวลามาก และได้สร้างเส้นทางการท่องเที่ยวที่สวยงามขึ้นมาอีกเส้นทางหนึ่ง) เมื่อมาถึงเร็ว คณะจากไทยที่เพิ่งเห็นใบไม้แดง หรือโมมิจิ (โมมิจิก็คือ เมเปิลใบเล็ก ที่ญี่ปุ่นมีเยอะ ส่วนเมเปิลแคนาดาที่นี่จะเรียกว่าคะเนะเดะมั้งถ้าจำไม่ผิด ถ้าผิดก็ขอให้ไปเช็คกับชื่อของแม่ของพระเอกในเรื่องฮะนะ โยริ ดันโหงะ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นของเรื่องที่เอฟโฟร์แสดง แล้วดังเป็นพลุแตกทั่วเอเชียไหง ชื่อของแม่พระเอกชื่อเดียวกับเมเปิลแคนาดา) ก็เลยลงไปถ่ายรูปกันใหญ่ คนแถวนั่นคงแปลกใจกันมั่งแหละ ไอ้พวกนี้มันไม่เคยเห็นรึไงวะ พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ประมาณเนี้ย แต่จะพูดจริงหรือเปล่าไม่รู้นะ เราแค่สันนิฐาน ส่วนเราหลบหนาวอยู่ในตึกดีกว่า ฮิๆอุ่น
ได้เวลาก็ขึ้นรถเจอาร์โลคัล หรือรถหวานเย็นบ้านเรา จอดทุกป้าย ตอนขึ้นก็งงเหมือนกันเพราะปกติประตูจะเป็นแบบอัตโนมัติเปิดให้เราเอง แต่นี่ต้องใช้มือง้างเปิดเอาเองครับ คงเพราะว่ามันหนาวแล้ว ขืนเปิดออโตทุกสถานีก็พอดีไอร้อนจากฮีทเตอร์หายหมด ทำให้เปลืองไฟนั่นเอง เข้าใจคิดนะเนี่ย นั่งรถสายนี้ก็เพื่อไปต่อที่เมืองมัทซึโมโตะ ระหว่างทางเนื่องจากเป็นยามเย็นแม้จะเป็นชนบทแต่ก็เริ่มมีคนใช้บริการกันเยอะ ทั้งคนที่กลับจากที่ทำงาน เด็กมัธยมที่เดินทางกลับบ้าน บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาบ้าง ต่างจากตอนที่นั่งรถบัสมาชินะโนะโอมาจิ ที่ทั้งรถเป็นของเรา
เมื่อมาถึงสถานีมัทซึโมะโตะ ก็ลองดูแผนที่บริเวณนั่นดูก็พบว่าใกล้ๆ มีปราสาทมัทซึโมะโตะแต่เวลาจะหาอะไรกินเป็นเรื่องเป็นราวไม่ค่อยมีแล้ว ก็เลยหาอะไรกินกันง่ายๆประทังหิวไปก่อน ระหว่างสาวๆกำลังเข้าห้องน้ำเราก็สำรวจร้านค้าแถวนั้น สะดุดใจกับแอปเปิ้ลที่นี่ เพราะนำมาแปรรูปหลายแบบมากทั้งขนมนู้นขนมนี้ ก็เลยสันนิฐานได้ว่ามันต้องอร่อยแน่ เลยซื้อมาซะห้าร้อยเยน ซึ่งภายหลังแอปเปิ้ลพวกนี้ช่วยเราประทังหิวได้มากเลย แถมอร่อยด้วย กะว่าจะเหมาสักลัง แต่รู้สึกลำบากเวลาขนขึ้นลงเจอาร์กว่าจะถึงบ้านต้า อดซื้อเลย ไม่งั้นนะได้กินแอปเปิ้ลอร่อยๆไม่แพงไปอีกหลายวัน
จากมัทซึโมะโตะพวกเราก็นั่ง Limited Express ชื่อ ชินะโนะ (ที่นี่รถไฟระดับ Express ขึ้นไปส่วนใหญ่มีชื่อเรียกเฉพาะ น่ารักดี) ต่อไปยังเมืองนะกะโนะ ความจริงแล้วจากมัทซึโมะโตะสามารถนั่ง Limited Express อีกเส้นชื่อ อะซุสะ ตรงดิ่งไปชินจูกุได้เลย ไม่ต้องย้อนขึ้นไปนะกะโนะก็ได้ แต่ว่าเพราะความคุ้ม อยากนั่งชินคันเซนกันให้หนำใจ และจะได้สัมผัสกับชินกันหลายรอบเลยไปนะกะโนะก่อน มาถึงนะกะโนะไม่ค่อยมีเวลาแล้ว เลยไม่ออกไปข้างนอกกันถ่ายรูปเล่นข้างในสถานีนั่นแหละ ถ่ายป้ายที่บอกว่านะกะโนะเคยจัดโอลิมปิดฤดูหนาวมาแล้ว ป้ายที่แสดงถึงความเป็นนะกะโนะมาด้วย แต่อ่านไม่ออกหมดเลยไม่รู้ว่าเขาเขียนอะไร คนอื่นๆที่โดยสารชินคันเซนก็มองพวกเราแปลกๆ แต่พวกเราเป็นทัวริสต์นี่หว่า ทำไรไม่ผิดโว้ย อยากตะโกนบอกพวกเขาอย่างนี้ แต่พอมานึกถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถ่ายกับอะไรที่เขานึกว่าแปลก แต่เรานึกว่ามันธรรมดา ก็คงเป็นอารมณ์แบบนี้แหละ
สักพักก็ได้เวลาชินคันเซน อะสะมะ ออกใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงก็ถึงโตเกียว ทั้งที่ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆเลย แต่เพราะความเร็วของมันสองร้อยกว่ากิโลต่อชั่วโมง เลยทำให้ถึงภายในระยะเวลาสองชั่วโมง แต่ว่าตอนนั้นมันมืดแล้ว ประกอบกับคณะจากไทยคงเหนื่อยกันมากเลยไม่ค่อยได้สัมผัสกับบรรยากาศชินคันเซนเท่าไร คงได้แต่สัมผัสความหรูหราภายในชิน ซึ่งที่นั่งก็สไตล์แบบเครื่องบินแต่ที่ว่างที่ขากว้างกว่ากันเยอะ แถมมีหนังสือแคตตะล็อคสินค้าเสียบให้อ่านด้วย แต่ละคนเพลินเลยละซิ แต่ถามหน่อยพวกแกอ่านภาษาญี่ปุ่นออกด้วยเหรอวะ
เมื่อมาถึงโตเกียว พวกเราก็ต่อรถเจอาร์สายยะมะโนะเตะ (เป็นสายวิ่งรอบเมือง เป็นลูปวงกลม) เผื่อจะเก็บห้องต้าที่รอปปองหงิ มาถึงสถานีเอะบิซึ แรกๆก็นึกว่าเป็นสถานีเล็กๆธรรมดา ออกมาปุปคนเพียบเลยครับ เป็นครั้งแรกที่เจอคนเยอะๆในโตเกียว (ความจริงเจอเยอะก่อนหน้านี้ แต่เป็นเส้นทางไปโอมิยะ จังหวัดไซตะมะ คนละจังหวัดกัน) ก็มาต่อใต้ดินถึงย่านรอปปองหงิจนได้ สรุป ตั้งแต่เมื่อคืนเดินทางจากไมฮะมะ ไปโอมิยะ นั่งรถไฟกลางคืนไปโทะยะมะ ตอนเช้าต่อจากโทะยะมะไปทะเทะยะม่า อยู่บนเส้นทางหิมะจนทะลุไปชินะโนะโอมาจิ (จังหวัดนะกะโนะแล้ว) นั่งรถต่อไปมัทซึโมโตะ ต่อไปเมืองนะกะโนะ นั่งชินกับโตเกียว นั่งรถเจอาร์มาเอะบิซึ ต่อใต้ดินมารอปปองหงิ เส้นทางอันแสนไกลกับเวลาแค่สองคืนกับหนึ่งวัน กลับทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่นมานานได้อย่างไรก็ไม่รู้ ตอนนี้กลับมายังจุดเริ่มต้น ณ ห้องต้าเพื่อรอการเดินทางใหม่วันพรุ่งนี้แล้ว เฮ้อ เหนื่อยก็เหนื่อยแต่มันก็มันนะ เป็นความทรงจำหนึ่งของเราเลยนะ
แถมท้ายวันที่สามของทริป พวกเราหาร้านสะดวกกินร้านหนึ่ง เข้าไปกินเพราะว่าเห็นมันว่างดี แรกๆก็นึกว่ามันไม่อร่อย คนเลยน้อย หารู้ไม่ว่าของเขาก็มีดี พอพวกเราเข้าไปแค่นั่นแหละหลังเราเข้ามากันตรึมเลย เลยต้องรีบกินคุยกันมากไม่ได้ เกรงใจร้านมันเล็กเดียวเขาจะเสียโอกาสทางการค้าไป แต่ที่นี่เป็นที่ณีชมว่าโซบะเขาอร่อยโดยเฉพาะน้ำซุป เราก็ว่ามันอร่อยเหมือนกันนะ พอออกมานอกร้านถึงบ้างอ้อ ที่ป้ายมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นร้านที่ขึ้นชื่อทางด้านโซบะนี่ มิน่าเลยอร่อย สุดท้ายพวกเราก็ไปสลบกันหอต้า เพื่อเริ่มการเดินทางใหม่ในวันรุ่งขึ้น

No comments: